“บัวหลวง” ชี้ “หุ้น” เป็นสินทรัพย์ที่ดีที่สุดช่วงเงินเฟ้อ-ดอกเบี้ยขาขึ้น
“บัวหลวง” ประเมินเงินเฟ้อ-ดอกเบี้ยขาขึ้น เป็นความเสี่ยงการลงทุนปี 65 มอง “หุ้น” เป็นสินทรัพย์ที่ดีที่สุด พร้อมแนะนำลงทุน “หุ้นนอกตลาด” ผลตอบแทนสูงกว่าหุ้นในตลาดราว 3-5% ต่อปี
นายพีรพงศ์ จิระเสวีจินดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กองทุนบัวหลวง เปิดเผยว่า สำหรับการลงทุนปี 2565 ให้น้ำหนักการลงทุนในธุรกิจที่อยู่ในธีมการเติบโตหลักของโลก (Mega Trend) ได้แก่ A Aging Society, AI (สังคมผู้สูงวัย, เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์) B Big Data, Blockchain Technologies (บิ๊กดาต้า, เทคโนโลยีบล็อกเชน) C Climate Change, Cloud Computing, Cybersecurity (สภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง, ระบบคลาวด์, ความปลอดภัยทางไซเบอร์) D Data Center, DeFi (ศูนย์จัดเก็บข้อมูล, การเงินแบบกระจายศูนย์) และ E ESG, EV (ความยั่งยืน, ยานยนต์ไฟฟ้า)
โดยภูมิภาคที่มองว่ามีความน่าสนใจลงทุนสูงสุดในปีนี้ คือ ตลาดหุ้นสหรัฐ เพราะมีบริษัทที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมค่อนข้างสูง รวมถึงเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ขณะที่ประเทศจีน แนะนำลงทุนระยะยาว 5-10 ปี เพราะเป็นตลาดหุ้นที่เต็มไปด้วยธุรกิจใน Mega Trend แม้ในปี 2564 ตลาดหุ้นจีนจะถูกกดดันจากการดำเนินนโยบายของภาครัฐ ซึ่งส่งผลกระทบต่อธุรกิจต่างๆ แต่มองว่าตลาดหุ้นปรับลงสะท้อนปัจจัยลบไปแล้ว
สำหรับปัจจัยเสี่ยงในปี 2565 ได้แก่ กระแสข่าวการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และภาวะเงินเฟ้อ โดยคาดว่าปัจจัยลบทั้ง 2 ส่วนจะส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อผู้ลงทุนในตราสารหนี้ หรือหุ้นกู้ เพราะมีความเสี่ยงจะขาดทุนจากผลตอบแทนที่ติดลบ สวนทางกับตราสารทุน หรือหุ้น ที่ยังเป็นสินทรัพย์ที่ดีที่สุดสำหรับการลงทุนในปี 2565 เพราะนักลงทุนยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากอัตราเงินปันผล (Dividend Yield) จากแนวโน้มกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่ยังเติบโต
"แม้ตลาดหุ้นจะปรับตัวลงตอบรับปัจจัยเสี่ยงเงินเฟ้อและดอกเบี้ยขาขึ้นไปแล้ว แต่เมื่อมีเหตุไม่คาดฝัน เช่น เฟดส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้นหรือมากกว่าที่คาดการณ์ จะส่งผลกดดันให้เกิดแรงขายหุ้น แต่ด้วยภาวะตลาดที่ยังอยู่ในเกณฑ์ร้อนแรง (Bull Market) ส่งผลให้ดัชนีสามารถฟื้นตัวกลับมาได้ในท้ายที่สุด ดังนั้น เราจึงมองตลาดช่วงปรับฐานเป็นโอกาสซื้อหุ้นพื้นฐานดี ปันผลและกำไรมีแนวโน้มเติบโต รวมถึงเป็นหุ้นที่อยู่ใน Mega Trend เพราะมีโอกาสเติบโตต่อเนื่องในอนาคต"
นายธนาวุฒิ พรโรจนางกูร รองกรรมการผู้จัดการ สายงานบริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บางกอกแคปปิตอล กล่าวว่า แม้ว่าหุ้นจะเป็นทางเลือกลงทุนที่ดีที่สุดในปี 2565 แต่พบว่ามูลค่า (Valuation) เริ่มปรับตัวขึ้นค่อนข้างสูง โดยเฉพาะตลาดหุ้นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว นอกจากนี้ ธุรกิจที่จะเป็นอนาคตของโลก เช่น ธุรกิจที่อยู่ใน Mega Trends ส่วนใหญ่ยังไม่เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น จึงแนะนำนักลงทุนเข้าลงทุน "หุ้นนอกตลาด"
ทั้งนี้ การลงทุนดังกล่าวว่าสามารถทำผ่านกองทุนส่วนบุคคล (Private Equity) ซึ่งเป็นเครื่องมือการลงทุนที่กองทุนชั้นนำระดับโลกเลือกใช้ เช่น กองทุนพัฒนามหาวิทยาลัยต่างประเทศ (Endowment Fund) ที่มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นนอกตลาดสูงถึง 80% และมีสัดส่วนการลงทุนหุ้นในตลาดเพียง 20% เท่านั้น เนื่องจากการลงทุนดังกล่าวให้ผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนหุ้นในตลาดราว 3-5% ต่อปี
ในการนี้ บลจ.บางกอกแคปปิตอล จับมือกับ PICTET กลุ่มธุรกิจบริการไพรเวตแบงก์ชั้นนำของโลก จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จัดตั้งกองทุนส่วนบุคคลเพื่อให้บริหารนักลงทุน โดยตั้งเป้าหมายในปี 12-18 เดือนข้างหน้า จะสามารถให้บริการกองทุนรวมที่มีนโยบายเชิงรุก (Hedge Fund) และกองทุนอสังหาริมทรัพย์แก่ผู้ลงทุนได้เพิ่มเติม