ภาพรวมถูกกดดันจากประเด็นยูเครน แต่กระทบน้อยต่อการเก็งกำไรรายตัว
ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ยูเครนยังกดดันบรรยากาศลงทุน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังออกมาให้ความเห็นว่าผู้นำรัสเซียได้ตัดสินใจที่จะโจมตียูเครนในไม่กี่วันข้างหน้า
ขณะที่รัสเซียเองยังแสดงท่าทีพร้อมเจรจา เรายังเชื่อว่าเป้าหมายหลักของรัสเซียคือการให้ยูเครนอยู่ในสถานะรัฐกันชนและไม่เข้าเป็นสมาชิกนาโต ไม่ใช่การทำสงคราม อย่างไรก็ตามประเด็นความไม่ชัดเจนดังกล่าวจะยังสร้างแรงกดดันต่อภาพรวมการลงทุนตามกระแสการพัฒนาการของความขัดแย้ง
แม้ DTAC-TRUE เริ่มเกินพื้นฐาน แต่อาจมีอัพไซด์อีกในระดับ 10% คณะกรรมการบริษัท DTAC-TRUE อนุมัติเกี่ยวกับการควบรวมกิจการ โดยจะต้องอนุมัติด้วยเสียง 3/4 ของที่ประชุมผู้ถือหุ้นที่จะประชุมวันเดียวกันคือ 4 เม.ย.65 โดยวันที่ไม่ได้รับสิทธิ์ในการประชุม (XM) สำหรับ DTAC คือ 4 มี.ค. ส่วน TRUE คือ 11 มี.ค. ราคาหุ้นของทั้งคู่ปรับเพิ่มขึ้น 45% และ 52% จาก พ.ย.64 ที่เริ่มมีกระแสข่าวควบรวมกิจการ และเริ่มปรับตัวเกินราคาเหมาะสมทางพื้นฐานอิง Bloomberg concensus ที่ 51.25 และ 5.70 บาท อย่างไรก็ตามด้วย Valuation ของ merge co ที่ Enterprice value (EV) ยังต่ำกว่า ADVANC อยู่ราว 13.5% ทำให้เรามองหุ้นทั้งสองยังมีอัพไซด์จากการเก็งกำไรในระดับ 10%+/- หรือประมาณ 56-58 และ 6.0-6.20 บาท ซึ่งการปรับขึ้นต่อในระดับใกล้เคียงดังกล่าว นักลงทุนควรพิจารณาบ่างขายทำกำไร (ไม่ควรดูส่วนต่าง market cap เนื่องจากภาระหนี้ของแต่ละรายที่ต่างกัน)
EASTW ตลาดกังวลอนาคตที่ไม่แน่นอนหลัง ราคาหุ้นปรับลดลง เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการแพ้ประมูลงานบริหารระบบส่งน้ำในภาคตะวันออก โดย EASTW มีสัญญาในการบริหารระบบโครงข่ายถึงปี 2566 ขณะที่ปัจจุบันการทำสัญญากับผู้ชนะการประมูลใหม่ (บริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด (VSK)) ชะลอการดำเนินการ เนื่องจากผลของการฟ้องแย้งของ EASTW ทำให้คณะกรรมการที่ราชพัสดุ มีมติ 6:4 ให้รอศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้ถึงที่สุดก่อนตัดสินใจดำเนินการต่อ เบื้องต้นจะมีผลกระทบดังนี้ 1) ในกรณี EASTW กลับมาได้สิทธิ์ในการบริหารโครงข่ายน้ำ ผลตอบแทนตามสัญญาใหม่คาดจะสูงขึ้นปีละประมาณ 250 ล้านบาท 2) ในกรณี VSK ได้สิทธิ์ในการบริหาร ยังประเมินผลกระทบจาก เนื่องจาก EASTW มีระบบท่อคู่ขนานที่มีสิทธิ์ใช้ต่อบางช่วงแต่ไม่ครบทั้งเส้น ทำให้การบริการลูกค้าจะไม่ราบรื่น และน้ำบางส่วนต้องผ่านโครงข่ายของ VSK ทำให้มีค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่ม รวมถึงอาจเสียลูกค้าบางส่วน 3) ตัวเลขผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีในระดับเกิน 800 ล้านบาท ที่เสนอตามข่าว เป็นประมาณการในอนาคต มิใช่ตัวเลขต้นทุนที่จะเพิ่มทันที และอยู่บนสมมติฐานการเติบโตของการใช้น้ำจาก EEC // การประเมินผลกระทบที่ชัดเจนอาจต้องรอข้อสรุปของคดีความ ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลา
ประเด็นเก็งกำไรอื่น 1) กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง การเปิดประมูลโครงการขนาดใหญ่ บวกต่อ CK, STEC, ITD, UNIQ 2) กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ ตลาดเก็งกำไรการเข้าสู่ธุรกิจใหม่เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิตอล และผลประกอบการปี 2564 ที่น่าจะเห็นการจ่ายปันผลในระดับที่ดี อย่างไรก็ตามยังมีความไม่ชัดเจนของภาพรายได้ปี 2565 อีกมาก การเก็งกำไรจึงควรกำหนจุดตัดขาดทุนทุกครั้ง KGI, ASP, CGH, FSS 3) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เป็นกลุ่มที่มักจะเคลื่อนไหวได้ดีในภาวะเงินเฟ้อ อีกทั้ง valuation ต่ำ และปันผลสูง ทำให้มีโอกาสเห็นการฟื้นตัวของ LH, SPALI, AP, SC, ASW 4) กลุ่มบันเทิง ผลประกอบการมีแนวโน้มฟื้นตัวจากงบโฆษณาที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจ บวกต่อ ONEE, BEC, WORK, MONO 5) หุ้นเก็งกำไรทางเทคนิค อาทิ SFT, WFX, CV, UBE, RAM, IND, MAKRO, CPALL, JAS, BCP, AJ, PTL
ภาพรวมกลยุทธ์: อาจย่อ แต่คาดไม่หลุด 1,690-1,700 โดยภาพรวมปรับขึ้นทดสอบ 1,720 / 1,740 จุด เน้นเก็งกำไรสลับรายกลุ่มโดยเลือกหุ้นที่ยังมีความน่าสนใจในเชิงของ valuation และมีทิศทางการเติบโตของกำไรเป็นบวก //หุ้นแนะนำ: TOP*, OR*, DTAC*, DMT*
แนวรับ: 1,690-1,700 / แนวต้าน : 1,720-1,740 จุด สัดส่วน : เงินสด 50% : พอร์ตหุ้น 50%
ประเด็นการลงทุน
ยอดขายชิปทั่วโลกปี 64 ทะลุ 5 แสนล้านดอลล์เป็นครั้งแรก - หลังจากที่กลุ่มผู้ผลิตชิปเร่งการผลิตเพื่อคอบสนองต่อการขาดแคลนชิปทั่วโลกที่เกิดขึ้นจากการที่เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
IVL - บริษัทฯ ได้ดำเนินการเข้าซื้อหุ้น 85% ในบริษัท UCY Polymers CZ s.r.o. (UCY) ผู้รีไซเคิลพลาสติก PET ที่มีฐานการผลิตในสาธารณรัฐเช็ก เสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความมุ่งมั่นในการเก็บรวบรวมพลาสติกใช้งานเพื่อนำไปรีไซเคิลให้มากขึ้นทั้งในประเทศและภูมิภาคยุโรป
ประเด็นติดตาม: 21 ก.พ. – EU Manufacturing PMI เดือน ก.พ. / 21 ก.พ. – TH: 4Q GDP / 22 ก.พ. – US Consumer Confidence เดือน ก.พ.
(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)