“ไฟสงคราม” ทุบซ้ำเศรษฐกิจ
สถานการณ์ตึงเครียดระหว่าง “รัสเซีย และ ยูเครน” ส่งผลให้เกิดวิกฤติด้านพลังงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งสถานการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก การตัดสินใจที่ไม่รอบคอบ อาจนำไปสู่หายนะทางเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
แม้ประเทศไทยจะไม่ใช่คู่ขัดแย้งโดยตรงจากสถานการณ์ตึงเครียดระหว่าง “รัสเซีย และ ยูเครน” แต่เราคงเลี่ยงไม่พ้นที่จะเจอผลกระทบไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ที่เจอแน่ คือ วิกฤติด้านพลังงาน ราคาน้ำมันที่จะแพงลิบลิ่ว เพราะ “รัสเซีย” ถือเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันดิบอันดับสองของโลก รองจากซาอุดีอาระเบีย และเป็นผู้ส่งออกก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ไปยุโรป
ความเสี่ยงที่จะเกิดสงครามจึงเป็นความเสี่ยงต่ออุปทานพลังงานโลก ที่ไทยต้องจับตาอย่างใกล้ชิด ถ้าราคาน้ำมันแพงขึ้นอีก ราคาสินค้าที่แพงอยู่แล้วจะยิ่งแพงขึ้นทวีคูณ ทุบซ้ำเศรษฐกิจที่อยู่ในภาวะเปราะบาง ภาวะเงินเฟ้อที่จะรุนแรงขึ้น ประเทศไทย ต้องตั้งรับ และเตรียมพร้อมไว้ด้วย
ความตึงเครียดที่เริ่มซับซ้อน จนหวั่นว่าจะเกิดสงครามปะทุรอบใหม่ ส่งผลทันทีต่อตลาดหุ้น การเงิน บิตคอยน์ ทั่วโลกดิ่งร่วงระนาว ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น สินทรัพย์ปลอดภัยอย่าง “ทองคำ” ปรับตัวสูงขึ้นทันที
หลังเจอท่าทีที่แข็งกร้าวของ ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ที่ตัดสินใจยอมรับสถานะของภูมิภาคโดเนตสก์ และลูฮันสก์ ตั้งอยู่ทางตะวันออกของยูเครน พร้อมสั่งการให้กองทัพรัสเซีย เริ่มปฏิบัติการ “รักษาสันติภาพ” ในแคว้นดังกล่าว
ท่าทีแบบนี้เท่ากับเป็นการ “จุดไฟสงคราม” อย่างที่ “ดร.สุรชาติ บำรุงสุข” นักวิชาการด้านความมั่นคงของจุฬาฯ ประเมิน
การประกาศรับรองเอกราชทั้งสองรัฐ ดร.สุรชาติ มองว่า เป็นมาตรการทางการทูตเชิงบังคับระดับที่ต่ำสุด เพราะเมื่อประกาศผนวกทั้งสองรัฐ ถือว่าเป็นรูปแบบสงครามใหม่ ทางทหารเรียกว่า “Hybrid warfare” หรือ “สงครามพันทาง” ที่จะใช้ยุทธวิธีผสมผสานกัน ทั้งใช้กำลังรบตามแบบเพื่อกดดัน ใช้กำลังนอกแบบปฏิบัติการ ใช้ศักยภาพของพลังข้อมูลข่าวสาร รวมถึงการโจมตีทางไซเบอร์
ส่วนประเทศไทย เลี่ยงไม่ได้ที่ต้องเจอผลกระทบ สภาธุรกิจไทย-รัสเซีย ออกมาแสดงความเป็นห่วง พร้อมจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิดว่าจะบานปลาย หรือจะจำกัดวงหรือไม่ ท่าทีของประเทศมหาอำนาจต่อความขัดแย้งนี้ เช่น สหรัฐ อังกฤษ ความหวั่นวิตก รวมไปถึงผลกระทบด้านการค้าระหว่าง “ไทย” และ “รัสเซีย”
ที่ผ่านมาไทยทำการค้ากับรัสเซียทั้งส่งออกและนำเข้า เป็นมูลค่าไม่น้อยในแต่ละปี หากรัสเซียถูกนานาประเทศคว่ำบาตร จะทำให้การทำธุรกรรมระหว่างนักธุรกิจไทยและรัสเซีย มีขั้นตอนและต้นทุนทางการเงินเพิ่มมากขึ้น
อีกประเด็นสำคัญ เมื่อโลกไม่ใช่หนึ่งเดียว แต่ถูกแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย การกดดันให้ต้องเลือกข้างย่อมเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน เรื่องนี้สำคัญมาก ผู้นำรัฐบาลไทย ต้องวิเคราะห์ให้ดี
สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก คงเป็นเรื่องยากที่จะตัดสินใจไปอยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แม้กระทั่งอยู่ตรงกลาง การตัดสินใจที่ไม่รอบคอบ อาจนำไปสู่หายนะทางเศรษฐกิจ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศครั้งใหญ่ และ “ไทย” อาจเป็นหนึ่งในประเทศที่ตกเป็น “เหยื่อ” ของ “ไฟสงคราม” ที่มีแต่ความสูญเสีย คราบน้ำตา และรอยแผล...