“เซียน” วิพากษ์ “รัสเซีย-ยูเครน” จบเร็วหุ้นพุ่ง !
"เซียนหุ้น" วิพากษ์คึก “รัสเซีย-ยูเครน” กระทบไทย “จำกัด…” เชื่อจบภายใน 1 เดือน ! ดันดัชนีฯ หุ้นไทยกลับมา “พุ่งต่อ!!” ฟาก “เสี่ยป๋อง-วัชระ” มองราคา “ทองคำ” อยู่ในระดับสูง หลังนักลงทุนกระจายความเสี่ยงสู่สินทรัพย์ปลอดภัย...
พลันที...!! ความตึงเครียดระหว่าง “รัสเซีย-ยูเครน” ถึงขีดสุด สะท้อนผ่าน “วลาดิเมียร์ ปูติน” ประธานาธิบดีของรัสเซีย ประกาศเปิดฉากปฏิบัติการทางทหารในยูเครนเมื่อวันที่ 24 ก.พ. ที่ผ่านมา ทำให้เกิด “ความกังวล” (Panic) ว่าจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ก่อนที่ทุกอย่างจะเบาบางลง ภายหลัง “โวโลดิมีร์ เซเลนสกี” ประธานาธิบดีของยูเครน ออกแถลงการณ์คาดหวังว่ารัฐบาลรัสเซียจะเปิดการเจรจาพูดคุย เพื่อหาแนวทางการยุติการต่อสู้และยุติการรุกรานในครั้งนี้...
ทว่า พลันทีสถานการณ์ทั่วโลกตกอยู่ในภาวะ “เปราะบางสุด” ครั้งนี้ ตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลก "ปั่นป่วน" เม็ดเงินไหลออกจากสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง สะท้อนผ่านตลาดทุนคือ ตลาดแรกๆ ที่มีปฏิกิริยาเชิงลบทันที บ่งชี้ผ่าน ดัชนี SET INDEX ปรับตัวลดลง “ต่ำสุด” (New Low) ระหว่างวัน 1,656.62 จุด ลดลง 39.83 จุด (24 ก.พ.) ก่อนจะกลับมาปิดที่ระดับ 1,662.72 จุด ลดลง 33.73 จุด หรือ 1.99% ด้วยมูลค่าการซื้อขายกว่า 1.27 แสนล้านบาท หลังนักลงทุนเกิดความวิตกกังวล ส่งผลให้ออกจากสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง
สะท้อนผ่านภาพการลงทุนเมื่อวันที่ 24 ก.พ. ที่ผ่านมาของ “นักลงทุนต่างประเทศ” ขายสุทธิสูงสุด 2,983.70 ล้านบาท “นักลงทุนสถาบัน” (กองทุนในประเทศ) ขายสุทธิ 1,386.99 ล้านบาท และ “นักลงทุนบัญชีหลักทรัพย์” ขายสุทธิ 505.18 ล้านบาท ส่วน “นักลงทุนในประเทศ” (รายย่อย) ซื้อสุทธิ 4,875.86 ล้านบาท
ด้านตลาดทองคำสถานการณ์ “ผันผวนหนัก” ตามสัจธรรมของโลก ที่นักลงทุนต้องหนีจากสินทรัพย์ประเภทเสี่ยงสูง อย่าง “ตลาดทุน” ไปหา “สินทรัพย์ปลอดภัย” และหนึ่งในนั้นคือตลาด “ทองคำ” ที่บรรดาเหล่า “นักลงทุน” ยกให้เป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย หรือ Safe Haven” ในยามที่สถานการณ์โลกไม่ปลอดภัย สะท้อนผ่าน ราคาทองคำปรับตัว 17 ครั้ง !! ดันราคาซื้อขายระหว่างวันขึ้นไปถึงบาทละ 1,200 บาท (24 ก.พ.) และปรับลง 2 ครั้ง รวม 100 บาท เบ็ดเสร็จตลอดทั้งวัน ราคาทองปรับขึ้นบาทละ 1,100 บาท
จากข้อมูลจากเว็บไซต์ของสมาคมค้าทองคำเมื่อ 24 ก.พ. ที่ผ่านมา พบว่า ทองคำแท่ง 96.5% ขายออก 30,000 บาท รับซื้อ 29,900 บาท และทองรูปพรรณ 96.5% ขายออก 30,500 บาท รับซื้อ 29,364.92 บาท ส่วนราคาทองคำโลก หรือ Gold Spot อยู่ที่ 1,961ดอลลาร์ต่อออนซ์
สอดคล้อง “ดร.ภากร ปีตธวัชชัย” กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า สำหรับความตึงเครียดระหว่างรัสเซียกับยูเครน แนะนำติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด เพราะยังประเมินลำบากว่าความรุนแรงจะมากน้อยเพียงใด และสถานการณ์จะขยายตัว หรือจะส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างไร
นอกจากนี้ ผลกระทบจากเหตุการณ์ระหว่างรัสเซียกับยูเครนส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์และราคาน้ำมันดิบยังถูกกระทบ โดยปรับขึ้นร้อนแรง ซึ่งนักลงทุนจะต้องพิจารณาผลกระทบดังกล่าวต่อบริษัทจดทะเบียน (บจ.) การลงทุนของตน รวมถึงติดตามการประเมินผลกระทบจากนักวิเคราะห์
สำหรับ “ความเสี่ยง” ของตลาดทุนไทยปี 2565 ตลาดหลักทรัพย์ฯ ประเมินความเสี่ยงไว้ “3 ด้าน” ประกอบด้วย 1. ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Conflict) ซึ่งส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ผันผวน 2. ความเสี่ยงเงินเฟ้อ ซึ่งจะส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ย หากดอกเบี้ยทั่วโลกปรับตัวขึ้นในระดับสูง จะส่งผลกระทบลบต่อสภาพคล่องและตลาดทุนไทย และ 3. โควิด-19 ตราบใดที่ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ เศรษฐกิจไทยจะยังถูกกระทบ จากที่ 50% ของเศรษฐกิจทั้งหมดมาจากภาคบริการ
อย่างไรก็ตาม บรรยากาศลงทุน (Sentiment) ตลาดหุ้นไทยระยะสั้นอาจจะได้รับผลกระทบเชิงลบดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ! ทว่าในมุมมองของเหล่า “กูรู” วิเคราะห์โอกาสที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 มี “จำกัด” ดังนั้น สัญญาณเชิงบวกดังกล่าวจะช่วยลดความผันผวนของตลาดหุ้นไทยได้ไหม“กรุงเทพธุรกิจ BizWeek” มีทัศนะจากเหล่า “กูรูตลาดหุ้น”
“เสี่ยป๋อง-วัชระ แก้วสว่าง” นักลงทุนด้านเทคนิค เจ้าของพอร์ตลงทุน “หลักพันล้านบาท” บอกว่า สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลกระทบต่อ Sentiment การลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกแน่นอน แต่เชื่อว่าสถานการณ์ดังกล่าวไม่น่าจะ “ยืดยื้อ” เพราะหากยืดยื้อจะส่งผลต่อราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น ทำให้ต้นทุนสูง เงินเฟ้อพุ่ง ดังนั้น จะไม่ส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทยและทั่วโลก
สำหรับ ตลาดหุ้นไทยภาพรวมคง “ผันผวน” เนื่องจากนักลงทุนตกอยู่ในภาวะ "ตกใจ" และไม่คาดคิดว่ารัสเซียจะเปิดปฏิบัติการทางทหารในยูเครน ส่วนตัวยอมรับว่า “ลดพอร์ตลงทุน” ไปกว่า 50% ของพอร์ตในวันที่รัสเซียยิงยูเครน และกลยุทธ์ลงทุนขอรอดูสถานการณ์ก่อน 2-3 วัน หากไม่มีความรุนแรง และมีการเจรจาจบเร็วก็กลับเข้ามาซื้อหุ้นใหม่อีกครั้ง
เสี่ยป๋อง-วัชระ แก้วสว่าง
อย่างไรก็ตาม กราฟสัญญาณทางเทคนิคหากดัชนีฯ ยังไม่หลุด 1,680 จุด ยังลงทุนต่อ แต่หากหลุดมองว่าเป็นการพักฐานระยะสั้น แต่ว่าอย่าให้เส้นกราฟเทคนิคหลุด 1,607 จุด หากหลุดเส้นดังกล่าวนักลงทุนต้องกลับมาทบทวนเพื่อปรับมุมมองการลงทุนใหม่ เนื่องจากตลาดหุ้นไทยจะเป็น “ขาลง” แล้ว !
ด้านราคา “ทองคำ” นั้น “เสี่ยป๋อง” มองว่า ในยามที่ทั่วโลกมีความไม่แน่นอน สินทรัพย์ประเภททองคำถูกยกให้เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยตลอด ดังนั้น ในช่วงเวลาดังกล่าวจึงเห็นราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากนักลงทุนเริ่มโยกย้ายเงินเข้าสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำบ้างแล้ว ซึ่งอนาคตแนวโน้มราคาทองคำยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องไปอีก
“โจ-อนุรักษ์ บุญแสวง” อดีตนายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) หรือ “วีไอ” วิเคราะห์สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่าง “รัสเซีย-ยูเครน” ให้ฟังว่า ส่วนตัวมองว่าจะมีผลกระทบต่อประเทศไทย “จำกัด!” และเชื่อสถานการณ์ดังกล่าวจะจบโดยเร็วไม่น่าจะบานปลายไปถึงสงครามโลกครั้งที่ 3 สะท้อนจากสหรัฐฯ และ ยุโรป ใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อรัสเซียไม่รุนแรงมาก
ดังนั้น เมื่อมีสัญญาณว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะไม่ลุกลามและรุนแรงมาก คาดว่าตลาดหุ้นไทยจะใช้เวลาแค่ 1 เดือน ก็กลับมา “รีบาวด์” สู่ภาวะปกติได้แล้ว ! แต่หากมีสถานการณ์บานปลายโดยอาจจะมีการดึงชาติพันธมิตรอื่นๆ เข้าร่วมด้วย จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจเนื่องจากราคาน้ำมันพุ่งส่งผลให้ต้นทุนขนส่งสูงต่อเนื่อง
สำหรับ กลยุทธ์ลงทุนในช่วงเวลาดังกล่าว แนะนำให้ลงทุนในอุตสาหกรรมที่ได้รับประโยชน์จากราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น เช่น ปตท.สผ. ส่วนหุ้นกลุ่มที่ควนหลีกเลี่ยง อาจะเป็นหุ้นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบเต็มๆ จากต้นทุนพลังงานสูง เช่น ขนส่ง
โจ-อนุรักษ์ บุญแสวง
ขณะที่ “ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” มีมุมมองต่อสถานการณ์ดังกล่าวว่า กรณีที่ “ปูติน” ประกาศเปิดฉากปฏิบัติการทางทหารในยูเครนว่า ยอมรับว่าสถานการณ์การส่งทหารของรัสเซียเข้าไปในยูเครน ถือว่ามากกว่าที่ประเมินไว้ในตอนแรก เนื่องจากยังไม่สามารถประเมินได้ว่าจะเกิดการปะทะกันในระดับไหน เนื่องจากในช่วงก่อนหน้านั้น ประเมินว่า ขอบเขตน่าจะจำกัด แต่ในครั้งนี้มองว่า ความเสี่ยงเปิดมากขึ้น ดังนั้นจึงต้องติดตามข่าวเป็นรายวัน
อย่างไรก็ตาม มองว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน “ไม่น่าจะลากยาว” แต่ผลกระทบจากสถานการณ์ในครั้งนี้ มันอาจจะลากยาว โดยเฉพาะในเรื่องราคาพลังงาน ดังนั้น ในมุมของเศรษฐกิจไทย มองว่า ภายหลังจากมีการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตกในหลายประเทศ โดยเฉพาะเยอรมันได้สั่งระงับท่อส่งก๊าซ น่าจะทำให้ราคาพลังงานในตลาดโลกปรับสูง และส่งผลกระทบต่อไทยเป็นลำดับต้นๆ เพราะในขณะนี้ไทยยังเผชิญอยู่กับเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูง ส่วนจะมีผลต่อการปรับลดประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจปีนี้หรือไม่นั้น ยังต้องติดตามในหลายปัจจัย โดยปัจจุบันคาดการณ์จีดีพีไว้ที่ 3.7%
ส่วนราคาน้ำมัน ยอมรับว่า มีโอกาสสูงที่ราคาน้ำมันเบรนท์จะแตะไปสู่ระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้ เนื่องจากสถานการณ์ที่งวดเข้ามา ซึ่งราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น ก็น่าจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในภาวะที่กำลังฟื้นตัวด้วย
“อมรเทพ จาวะลา” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย และที่ปรึกษาการลงทุน ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย จำกัด (มหาชน) หรือ CIMBT มองว่า ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และชาติตะวันตกโดยเฉพาะยุโรป จะสร้างผลกระทบระยะสั้นเท่านั้น ทั้งเรื่องเงินเฟ้อที่อาจทำให้ราคาพลังงานในส่วนของน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นได้ อาจขึ้นไปที่ 100-120 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และถ้ายืดเยื้อจะทำให้ในไตรมาส 2 ปีนี้ราคาน้ำมันจะเพิ่มขึ้นอีก แต่เชื่อว่าประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) จะเพิ่มกำลังการผลิต ทำให้สถานการณ์คลี่คลายลง
นอกจากนี้ อาจกระทบกับการส่งออก แต่ไม่ได้มากเพราะไทยส่งออกสินค้าไปรัสเซียไม่มาก แต่ถ้าปัญหาครั้งนี้ทำให้ยุโรปเกิดหยุดชะงักของเศรษฐกิจจะทำให้กระทบการส่งออกไทยไปยุโรปได้ และส่วนการท่องเที่ยวก็อาจถูกกระทบในส่วนนักท่องเที่ยวจากยุโรป แต่นักท่องเที่ยวรัสเซียไม่ได้มากอยู่แล้ว
“หากสถานการณ์ยืดเยื้อ จะกระทบราคาน้ำมันสูงและนำไปสู่เงินเฟ้อที่สูงขึ้นได้ บวกกับต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ก็จะเพิ่มขึ้น แต่เชื่อว่าจะเป็นเพียงระยะสั้นและไม่กระทบต่อเศรษฐกิจโลก และหวังว่าจะไม่ลุกลามไปกระทบเศรษฐกิจของยุโรป”
“อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล” ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ มีมุมมองต่อสถานการณ์ ว่า คงจะทำให้นักลงทุนกลัวสถานการณ์เป็นสงครามข้ามชาติ นักลงทุนไม่อยากถือสินทรัพย์เสี่ยง ในแง่ผลกระทบต่อเศรษฐกิจของไทยค่อนข้างน้อย เพราะมีการค้ากับรัสเซียไม่มาก ขณะที่นักท่องเที่ยวรัสเซียก็เข้าไทยไม่มากปี 2562 ราว 4-5 % ไม่เยอะมาก แต่ในแง่ Sentiment ต่อตลาดหุ้น ผลกระทบเป็นทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นโลก
“ส่วนสงครามก่อนหน้านี้กระทบตลาดหุ้นแค่ไหน นั้น โดยรวมตลาดแนวโน้มไซด์เวย์ดาวน์ แต้ต้องติดตาม ตลาดหุ้น Sentiment ขึ้นอยู่กับพัฒนาการของสถานการณ์ เพราะเป็นพื้นที่เสี่ยงอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับผู้นำแต่ละประเทศ แต่ถ้าแค่ตรงนี้ก็จะอึมครึมเป็นเดือน ดัชนีก็จะไซด์เวย์ดาวน์ อาจมีปะทะบ้างเพื่อกดดันให้ 2 ฝ่าย เปิดโต๊ะเจรจา”
อย่างไรก็ตาม ให้แนวรับ 1,650 จุด หากหลุดแนวรับดังกล่าวให้ชะลอการลงทุน แต่หากหลุดก็จะลงไป 1,600 จุด ซึ่งเป็นด่านที่สำคัญอีกด่านหนึ่ง แนวต้านแรก 1,680 จุด ถัดไป 1,700 จุด