"ประยุทธ์" สั่งอุ้มผู้ใช้เบนซิน เล็งส่วนลดบัตรคนจนเฉพาะกลุ่ม

"ประยุทธ์" สั่งอุ้มผู้ใช้เบนซิน เล็งส่วนลดบัตรคนจนเฉพาะกลุ่ม

นายกฯ หารือทีมที่ปรึกษา แก้ปัญหาค่าครองชีพหลังราคาน้ำมันพุ่ง สั่ง “คลัง - พลังงาน” เร่งมาตรการช่วยผู้ใช้เบนซิน เน้นกลุ่มเปราะบาง เล็งจ่ายผ่านบัตรสวัสดิการรัฐ มอบ “สุพัฒนพงษ์” หารือสมาคมธนาคาร - แบงก์รัฐ แก้หนี้ประชาชน ห่วงปมโควิด - น้ำมันแพงเพิ่มปัญหาหนี้

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เรียกประชุมทีมที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล วานนี้ (3 มี.ค.65) เพื่อติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจที่กำลังได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย และยูเครน

การประชุมครั้งนี้มี นายทศพร ศิริสัมพันธ์ ประธานคณะที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี รวมถึงคณะที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ประกอบด้วย นายไกรฤทธิ์ อุชุกานนท์ชัย , นายประสัณห์ เชื้อพานิช , นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร และนายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) โดยมี นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และนายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมประชุมด้วย

ประเด็นสำคัญในการหารือครั้งนี้ครอบคลุม 3 ประเด็น คือ 1.การดูแลกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากราคาพลังงานสูงขึ้น 2.การแก้ปัญหาหนี้ประชาชนที่อาจมีปัญหามากขึ้นจากโควิด-19 และราคาพลังงานสูงขึ้น 3.การเร่งรัดการลงทุนเพื่อเพิ่มรายได้ให้ประชาชน

นายทศพร เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีหารือ และสั่งการหลายเรื่อง โดยเฉพาะสถานการณ์ราคาพลังงานที่สูงขึ้นตามราคาตลาดโลก และส่งผลกระทบประชาชน ซึ่งก่อนหน้านี้รัฐบาลมีมาตรการดูแลราคาพลังงานแล้วในการตรึงราคาน้ำมันดีเซล 30 บาท โดยนายกรัฐมนตรีสั่งการเพิ่มเติมให้เร่งทำมาตรการช่วยผู้ใช้น้ำมันเบนซินด้วย โดยจะให้ความช่วยเหลือผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มี 13.45 ล้านคน

“นายกฯ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาว่าจะกำหนดมาตรการอย่างไร มีส่วนลดราคาน้ำมันสัดส่วนเท่าไหร่ และจะให้กลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐกลุ่มใดบ้าง เช่น อาจให้กลุ่มเปราะบางที่มีรายได้น้อยมาก หรือกลุ่มอาชีพที่ต้องการได้รับความช่วยเหลือ เช่น กลุ่มมอเตอร์ไซค์รับจ้าง โดยนายกรัฐมนตรีสั่งการให้กระทรวงการคลังสรุปมาตรการแล้วเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยเร็ว” นายทศพร กล่าว

ทั้งนี้ ราคาน้ำมันกลุ่มเบนซินมีการปรับขึ้นอีกครั้งมีผลวันนี้ (4 มี.ค.65) เพิ่มขึ้นลิตรละ 60 สตางค์ ส่งผลให้แก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ลิตรละ 37.15 บาท แก๊สโซฮอล์ 91 ลิตรละ 36.88 บาท E20 ลิตรละ 36.04 บาท และ E85 ลิตรละ 29.34 บาท

นายทศพร กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีหารือการแก้ไขปัญหาหนี้สินให้ประชาชน โดยนายกรัฐมนตรีเป็นห่วงว่าประชาชนบางส่วนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ที่ยังรายได้ไม่ฟื้นกลับมา และเมื่อเกิดปัญหาความตึงเครียดระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่ส่งผลให้ราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้นประชาชนจะได้รับผลกระทบเพิ่มอีกจึงควรมีมาตรการในการช่วยเหลือเพิ่มเติมเพื่อให้การแก้ปัญหาหนี้สินได้ผล 

รวมทั้งพิจารณายืดหนี้ออกไปสำหรับคนที่ยังมีปัญหาในการชำระหนี้ โดยนายกรัฐมนตรีสั่งการให้ นายสุพัฒนพงษ์ หารือสมาคมธนาคารไทย รวมถึงธนาคารรัฐเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน

นายทศพร กล่าวว่า ส่วนการเร่งรัดการลงทุนนั้นนายกรัฐมนตรีต้องการให้การลงทุนส่งผลให้เกิดการจ้างงานและเพิ่มรายได้ให้ประชาชนจึงให้ทีมที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีดูว่าจะเร่งรัดการลงทุนส่วนใดได้บ้างทั้งในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) โดยให้ไปออกแบบแล้วมานำมาเสนออีกครั้ง

เน้นดูแลกลุ่มเปราะบาง

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้ติดตามสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยรัฐบาลได้แก้ปัญหาต่อเนื่องส่งผลให้เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นมาก แต่ยังมีประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 และราคาพลังงานที่สูงขึ้นจากความตึงเครียดในยุโรป โดยนายกรัฐมนตรีห่วงใย และให้ความสำคัญกับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ จึงสั่งการคณะที่ปรึกษาให้เดินหน้าเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหา และแบ่งเบาภาระประชาชนทุกคนให้เห็นผลเร็วที่สุด

สำหรับผลกระทบด้านพลังงานกำหนดให้หาแนวทางลดภาระค่าใช้จ่าย ดูแลประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่นายกรัฐมนตรีสั่งการให้ร่วมพิจารณามาตรการที่เหมาะสม แบ่งเบาภาระของประชาชน เช่น การช่วยเหลือบรรเทาราคาน้ำมัน ราคาก๊าซหุงต้ม ค่าไฟฟ้า

รวมทั้งการบรรเทาภาระหนี้สินที่รัฐบาลดูแลมาตลอด โดยกำหนดให้ปี 2565 เป็นปีแห่งการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน และกำหนดแนวทางที่ชัดเจนในการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนครอบคลุมทุกมิติ และนายกรัฐมนตรีต้องการให้มีหน่วยงานขับเคลื่อนเพื่อดูแลประชาชนทุกคน เพื่อบรรเทาภาระหนี้ให้ประชาชนไม่ให้ถูกยึดบ้านหรือรถ

นอกจากนี้ในด้านการลงทุนจะผลักดันเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและเพิ่มรายได้ให้ประชาชน โดยเพิ่มโอกาสการสร้างรายได้ให้ประชาชนทั่วถึง และเสมอภาค ซึ่งนายกรัฐมนตรีสั่งการให้เร่งรัดการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ เพื่อให้มีเม็ดเงินกระจายลงพื้นที่ทั้งโครงการในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) โครงสร้างพื้นฐานสร้างความเชื่อมโยง การกระจายทรัพยากรสู่ภูมิภาคและท้องถิ่น รถไฟเส้นทางขนส่งสินค้าส่งออกซึ่งทำได้ในปริมาณมาก ประหยัด รวดเร็ว และเป็นโอกาสเพิ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ สำหรับกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก และสังคมนั้น ณ สิ้นเดือน ม.ค.2565 มีวงเงินคงเหลือ 48,000 ล้านบาท โดยได้รับการจัดสรรจากงบประมาณปี 2565 วงเงิน 30,000 ล้านบาท และได้รับยอดยกมาจากปีงบประมาณ 2564 วงเงิน 35,000 ล้านบาท รวม 65,000 ล้านบาท ทั้งนี้เดือนต.ค.2564 ถึงม.ค.2565 มีรายการใช้จ่าย 16,000 ล้านบาท ดังนั้น จึงเหลือวงเงินกองทุน 48,000 ล้านบาท

รายงานข่าวระบุว่า ปัจจุบันมีผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13.45 ล้านคน โดยผู้ถือบัตรจะได้รับสวัสดิการ 4 ส่วน คือ 1.เงินซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคคนละ 200-300 บาทต่อเดือน 2.วงเงินซื้อก๊าซหุงต้ม 45 บาท (45 บาท ใน 3 เดือน เป็นส่วนลดค่าก๊าซได้ 1 ครั้ง) 

3.ค่ารถโดยสารสาธารณะคนละ 500 บาทต่อเดือน 4.ส่วนลดค่าน้ำและค่าไฟ แบ่งเป็นเงินคืนค่าน้ำประปา 100 บาท แต่ไม่เกิน 315 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน และเงินคืนค่าไฟฟ้า ไม่เกิน 315 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน

เอกชนแบกต้นทุนพลังงานเพิ่ม

นายเกรียงไกร เธียรนุกูล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ตอนนี้ราคาน้ำมันดิบทำสถิติใหม่ในรอบ 8 ปี สำหรับไทยซึ่งนำเข้าน้ำมันราว 80% ของความต้องการใช้ทั้งประเทศ ซึ่งทำให้เอกชนต้องแบกรับต้นทุนทุก 1 ดอลลาร์ ที่ปรับราคาขึ้นเท่ากับราคาน้ำมันในไทยเพิ่มขึ้น 25 สตางค์ 

ทั้งนี้ คาดว่าราคาน้ำมันจะไม่ลดลงได้เร็ว โดยอยู่ที่ระดับนี้ไปอีก 20-30 วัน ซึ่งจะส่งผลทำให้รัฐบาลต้องเตรียมเงินอุดหนุนเพื่อตรึงราคาน้ำมัน ด้วยวิธีการใช้เงินจากกองทุนน้ำมันที่จะยิ่งติดลบมากขึ้น รวมถึงการลดเก็บภาษีสรรพสามิตซึ่งจะเป็นภาระต่อการเงินการคลังของประเทศอย่างมากในอนาคต

ห่วงราคาขึ้นไปแตะ 120 ดอลลาร์

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน มีแนวโน้มที่จะยืดเยื้อ ซึ่งทั่วโลกกำลังจับตามองอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะท่าทีของนาโต และการพิจารณารับยูเครนเข้าเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป ซึ่งส่งผลต่อราคาพลังงานในตลาดโลก 

ขณะนี้ราคาน้ำมันวันนี้ทะลุบาร์เรลละ 115 ดอลลาร์ ซึ่งมีโอกาสจะทะลุบาร์เรลละ 120 ดอลลาร์ และส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันในประเทศลิตรละ 5.0-7.5 บาท จากราคาปลายเดือนก.พ.ที่ผ่านมา 

“จะเป็นผลกระทบทางอ้อมและส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคแน่นอน ทำให้ไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย เพราะสินค้ามีราคาแพง ซึ่งต้องขอขอบคุณรัฐบาลไทยที่ช่วยลดภาษีสรรพสามิต และตรึงราคาน้ำมันภายในประเทศในช่วงนี้ และอยากให้พิจารณามาตรการนี้ต่อหากเหตุการณ์ยืดเยื้อ”นายสนั่น กล่าว

เกาะติดปัญหาเงินเฟ้อ-ส่งออก

นอกจากนั้น ยังคงต้องติดตามภาวะเงินเฟ้อ และการส่งออกอย่างต่อเนื่อง เพราะจะเป็นปัจจัยสำคัญในการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยปีนี้ โดยภาครัฐควรรักษาอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ระดับ 32.5-33.5 บาทต่อดอลลาร์

นอกจากนั้น ในส่วนของการค้าระหว่างประเทศที่จะกระทบ Global supply chain ที่ยังต้องจับตามองผลกระทบจากค่าระวางเรือที่จะเพิ่มสูงขึ้น อันเนื่องมาจากสายเรือ งดรับจองในเส้นทางรัสเซีย-ยูเครน และบริษัทประกันภัยไม่รับประกันการขนส่งสินค้าในเส้นทางดังกล่าว ทำให้ต้องพิจารณาใช้เส้นทาง ทางบก หรือระบบราง และต้องขนส่งผ่านประเทศอื่นๆ เพื่อเข้าไปยังรัสเซียและยูเครน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เริ่มมีประกาศจากสายเรือที่พร้อมให้บริการบ้างแล้วว่า สินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น อาหาร ยา ยังสามารถส่งเข้ารัสเซียได้

ส่วนผลกระทบระยะกลาง และระยะยาว ประเมินว่า จะเกิดผลกระทบด้านโลจิสติกส์ โดยอาจเกิดภาวะขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ จึงขอเสนอให้ภาครัฐเร่งเจรจาจัดทำ Transit Agreement กับประเทศจีน และให้ศึกษาการใช้ประโยชน์จากสิทธิพิเศษทางภาษีของสหภาพยูเรเซีย เพื่อพิจารณาเป็นเส้นทางในการขนส่งสินค้าใหม่

 

 

พิสูจน์อักษร  โดย....สุรีย์   ศิลาวงษ์