ส.อ.ท. - หอการค้าฯ หวั่นศึกรัสเซีย '​​ยืดเยื้อ'​​

ส.อ.ท. - หอการค้าฯ หวั่นศึกรัสเซีย '​​ยืดเยื้อ'​​

หากสถานการณ์ระหว่างรัสเซียและยูเครนตึงเครียดจะยิ่งส่งผลต่อราคาน้ำมันดิบ ซึ่งขณะนี้อยู่ที่ 110 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลแล้ว และหากสถานการณ์บานปลายราคาน้ำมันอาจพุ่งถึงบาร์เรลละ 150 ดอลลาร์ ซึ่งกระทบทั่วโลกทั้งยังซ้ำเติมภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้น 

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า หากสถานการณ์ระหว่างรัสเซียและยูเครนตึงเครียดจะยิ่งส่งผลต่อราคาน้ำมันดิบ ซึ่งขณะนี้อยู่ที่ 110 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลแล้ว และหากสถานการณ์บานปลายราคาน้ำมันอาจพุ่งถึงบาร์เรลละ 150 ดอลลาร์ ซึ่งกระทบทั่วโลกทั้งยังซ้ำเติมภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้น 
สำหรับผลกระทบกับไทยที่เป็นผู้นำเข้าน้ำมันเกือบ 90% เมื่อน้ำมันดิบแพงขึ้น 1 ดอลลาร์ ประเมินว่าทำให้ราคาค้าปลีกสูงขึ้น 20-25 สตางค์ต่อลิตร จะเห็นว่าช่วงนี้ราคาน้ำมันจะปรับขึ้นแทบทุกวัน ซึ่งทุกประเทศต่างต้องรับผลกระทบเหมือนกัน

ขณะนี้รัฐบาลไทยใช้มาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไว้ที่ 30 บาทต่อลิตร เพื่อลดภาระให้ภาคการผลิตและขนส่ง และชะลอการขึ้นราคาสินค้าอย่างน้อย 3-6 เดือน เพื่อไม่ให้กระทบค่าครองชีพประชาชน รวมทั้งมาตรการดังกล่าวต้องใช้เงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ขณะนี้ติดลบ 20,000 ล้านบาท และรัฐบาลได้ลดภาษีสรรพสามิตลิตรละ 3 บาท ซึ่งจะกลายเป็นภาระให้กับการคลังประเทศ
ทั้งนี้ ภาวะสงครามที่เกิดขึ้นไม่มีใครสามารถคาดได้ว่าจะยุติเมื่อใด และภาครัฐจะแบกรับภาระเงินกู้ได้อีกมากแค่ไหน โดยอัตราเงินเฟ้อเดือน ก.พ.2565 ที่พุ่งถึง 5% ทำสถิติใหม่รอบ 13 ปี เป็นการซ้ำเติมภาระค่าครองชีพประชาชนที่บาดเจ็บจากโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน และขณะนี้ประชาชนเผชิญปัญหาสินค้าราคาแพง เงินเฟ้อ รายได้ไม่เพิ่ม และหนี้ครัวเรือนสูง โดยรัฐบาลทั่วโลกกำลังหาวิธีรับมือปัญหานี้ โดยการใช้มาตรการต่างชดเชยภาระประชาชน แต่หากสถานการณ์บานปลายจะยิ่งส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกวงกว้าง 
 

ผู้ประกอบการลดใช้พลังงาน
ส่วนผลกระทบต่อต้นทุนของผู้ประกอบการแตกต่างกันในแต่ละอุตสาหกรรม โดย ส.อ.ท.ได้สำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 15 ประจำเดือน มี.ค.2565 หัวข้อ “ปรับขึ้นค่าไฟ-ก๊าซ กระทบเศรษฐกิจแค่ไหน” จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. 150 คน ซึ่งผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมมองว่าการรับมือกับราคาพลังงานที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ตามความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นจากปี 2564 โดยผู้ประกอบการส่วนใหญ่ 82.0% เห็นว่าจะต้องมีการปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อประหยัดพลังงาน
รองลงมาผู้ประกอบการ 76.0% มีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนใช้เองภายในโรงงาน เช่น Solar cell ในขณะที่ผู้ประกอบการ 64.7% มีการนำระบบการบริหารจัดการพลังงานมาใช้และปรับแผนการผลิตเพื่อลดต้นทุน และผู้ประกอบการ 53.3% มีการบำรุงรักษาและปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักรอย่างสม่ำเสมอ
หอการค้าห่วงสงครามยืดเยื้อ
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สถานการณ์การสู้รบระหว่างรัสเซียและยูเครนกระทบเศรษฐกิจทั่วโลกไม่เว้นแม้แต่ไทย เพราะความต้องการสินค้าตลาดโลกลดลงจะมีผลต่อการส่งออกไทยระยะถัดไป โดยเฉพาะตลาดสำคัญ เช่น สหรัฐ อียู จีน และอาเซียน 
ส่วนผลกระทบที่เห็นชัดเจน คือ ราคาน้ำมันปรับตัวสูงถึงบาร์เรลละ 115 ดอลลาร์ และมีโอกาสจะทะลุบาร์เรลละ 120 ดอลลาร์ ซึ่งกระทบราคาน้ำมันในไทย 5.0-7.5 บาทต่อลิตร เมื่อเทียบกับปลายเดือน ก.พ.2565 ส่งผลต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคแน่นอนทำให้ไม่กล้าจับจ่ายใช้สอยเพราะสินค้ามีราคาแพง
ทั้งนี้ จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยที่ผ่านมา ราคาเบนซินทุก 1 บาทที่เพิ่มขึ้น ต่อลิตร จะส่งผลต่อจีดีพี 0.1% ในปีนั้น ในขณะที่ ดีเซล 1 บาทที่เพิ่มขึ้นต่อลิตร จะส่งผลต่อจีดีพี 0.2% หากเหตุการณ์สงครามครั้งนี้ยืดเยื้อประมาณ 3 เดือน จะกระทบจีดีพี ทั้งปีนี้ ลดลงอีก 0.2% จากที่ประมาณการณ์ไว้
หนุนรัฐบาลตรึงดีเซลต่อ
หอการค้าไทยเสนอว่า รัฐบาลควรดูแลค่าเงินบาทให้ไม่แข็งค่ามากเกินไปโดยระดับที่เหมาะสม คือ ระดับ 32.5-33.5 บาทต่อดอลลาร์รวมถึงตรึงราคาดีเซลต่อเพื่อลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย เพราะขณะนี้กำลังซื้อต่างจังหวัดยังไม่ฟื้นตัว และยังมีปัญหาสภาพคล่องของผู้ประกอบการต่างจังหวัด
สำหรับผลกระทบด้านการท่องเที่ยวนั้น คาดว่า นักท่องเที่ยวในปีนี้จากรัสเซียอาจจะหายไป 2.5 แสนคน เพราะมีข้อจำกัดการเดินทาง ลดลงจากเดิมที่เคยประเมินว่าปีนี้จะมีเข้ามา 5 แสนคน อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยก็ยังคาดหวังว่าจะมีนักท่องเที่ยวจากซาอุดิอาระเบียเข้ามาประเทศไทยเพิ่มขึ้น เพื่อทดแทนรายได้ส่วนนี้
“สถานการณ์รัสเซีย-ยูเครนกระทบเศรษฐกิจไทยโดยตรงไม่มากนัก แต่ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกไม่แน่นอน จึงต้องติดตามภาวะเงินเฟ้อและการส่งออกต่อเนื่อง เพราะเป็นปัจจัยสำคัญในการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยปีนี้ โดย กกร.ได้ปรับตัวเลขประมาณการทั้งจีดีพีและเงินเฟ้อปี 2565ใหม่ และขอให้ผู้ประกอบการไทยที่มีธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องทางตรงและทางอ้อมควรติดตามข่าวสารใกล้ชิด” นายสนั่น กล่าว