Clean Energy อีกหนึ่งทางเลือกในยุคน้ำมันแพง
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา สหภาพยุโรป หรือ EU ได้ประกาศลดการเข้าซื้อน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติลง 2 ใน 3 จากจำนวนน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติที่นำเข้าจากรัสเซียทั้งหมด เพื่อตอบโต้การเข้าโจมตียูเครน นอกจากนี้ ยังได้ประกาศแผนที่จะเลิกการนำเข้าพลังงานจากรัสเซียภายในปี 2030 อีกด้วย
ปัจจุบัน ยุโรปเผชิญกับปัญหาราคาน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง มาเป็นเวลาหลายเดือน ล่าสุดความขัดแย้งระหว่าง รัสเซีย-ยูเครน ที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ EU อาจเกิดปัญหาด้าน Supply Disruption เนื่องจาก EU ยังคงต้องนำเข้าน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ส่วนมากจากรัสเซีย ปัจจุบัน EU มีการนำเข้าจากรัสเซียรวมทั้งสิ้นราว 45% ของการนำเข้าน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติทั้งหมด ทำให้คณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ประกาศความร่วมมือ REPowerEU โดยมีเป้าหมายเพื่อกระจายแหล่งนำเข้าน้ำมัน และเร่งการนำพลังงานทดแทนมาใช้ ในการให้พลังงาน และการทำความร้อนในช่วงหน้าหนาว ซึ่งไม่เพียงแต่ยุโรปเท่านั้น ที่เผชิญหน้ากับราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น ราคาน้ำมันในสหรัฐ ได้เร่งตัวขึ้นเช่นเดียวกัน โดยปัจจุบันราคาน้ำมันเฉลี่ยทั่วประเทศของสหรัฐ อยู่ที่ $4.07 ต่อแกลลอน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้ากว่า 10% และนับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2008 ที่สหรัฐประสบกับสภาวะราคาน้ำมันพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง
ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นอีก หลังสหรัฐ และอังกฤษประกาศแบนการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย
ในช่วงที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปัญหาด้านการผลิต ที่ส่งผลต่อปริมาณ Supply ในขณะที่ Demand มีเพิ่มขึ้นหลังกิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาดำเนินการได้ตามปกติ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดที่เริ่มดีขึ้น ทั้งนี้ สถานการณ์ระหว่าง รัสเซีย-ยูเครน ที่ตึงเครียดมากขึ้น รวมถึงมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียจากนานาประเทศ มีแนวโน้มที่จะกระทบต่อการเร่งตัวของราคาน้ำมันและอัตราเงินเฟ้อได้อีกในระยะข้างหน้า โดยราคาน้ำมัน WTI เร่งตัวขึ้น +3.6% สู่ระดับสูงกว่า $123 ต่อบาร์เรล หลัง ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ประกาศแบนการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ในขณะที่อังกฤษก็ประกาศภายในวันเดียวกันว่าจะยุติการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียภายในสิ้นปีนี้ แต่จะยังคงนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียอยู่ โดยการเร่งตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบส่งผลให้ราคาน้ำมันสำหรับบริโภคเร่งตัวทั่วโลกขึ้น โดย Gasoline ปรับตัวเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดในสหรัฐ เช่นเดียวกับราคาน้ำมันดีเซลในยุโรปที่เร่งตัวเช่นกัน
ด้านนักวิเคราะห์ได้ออกมาปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาน้ำมัน ดังนี้
- JP Morgan คาดว่า ราคาน้ำมัน Brent มีโอกาสเร่งตัวขึ้นแตะระดับ $185 ต่อบาร์เรลภายในปีนี้ หากสถานการณ์ยังคงตึงเครียด
- Goldman Sachs คาดว่า ราคาน้ำมัน Brent มีโอกาสเร่งตัวขึ้นแตะระดับ $135 ต่อบาร์เรลภายในปีนี้ โดยระบุว่า Demand ที่หดตัว และการลดการบริโภคเท่านั้น ถึงจะชะลอการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันได้
ภาพแสดงราคาน้ำมันเร่งตัวขึ้นจากความกังวลสถานการณ์ที่ตึงเครียด
Clean Energy อีกหนึ่งพลังงานทางเลือกในช่วงน้ำมันแพง
ราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นอย่างมาก หนุนให้นโยบาย พลังงานสะอาด ของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ได้รับการสนับสนุนมากขึ้น โดยในแถลงการณ์เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา นอกจากจะประกาศแบนการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียแล้ว ยังได้มีการผ่อนคลายกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อหนุนการผลิตน้ำมันในประเทศ ทั้งนี้ สหรัฐ ไม่มีแผนที่จะลดราคาน้ำมันสำหรับการบริโภค เนื่องจากมองว่า สถานการณ์ราคาน้ำมันที่เร่งตัวจะช่วยหนุนให้ประเทศเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงมาบริโภคพลังงานสะอาดได้ นอกจากนี้ ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ยังได้กล่าวว่า จะพยายามปฏิรูปเศรษฐกิจให้ขับเคลื่อนด้วยรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานสะอาด และถ้าทุกคนร่วมมือกันอย่างเต็มที่ ที่จะใช้พลังงานสะอาด ก็จะไม่มีใครต้องมากังวลเรื่องราคาน้ำมันที่ผันผวนในอนาคต
หุ้น Clean Energy ปรับตัวขึ้นตอบรับความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้น
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาหุ้นกลุ่ม Renewable Energy ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยดัชนี S&P Global Clean Energy ปรับตัวเพิ่มขึ้น +7.78%, กองทุน Global X Solar Energy (RAYS) +5.59% และกองทุน Invesco WilderHill Clean Energy ETF (PBW) +10.98% ด้านหุ้นรายตัวที่สำคัญ มีการปรับตัวขึ้นดังนี้
- Enphase Energy ผู้ให้บริการ Solar Power ทั้งเชิงพาณิชย์และสำหรับที่อยู่อาศัย ปรับตัวเพิ่มขึ้น +13.01% โดยราคาหุ้นขึ้นไปแตะระดับ $182.65
- SolarEdge ผู้ให้บริการ power optimizer solar inverter และ monitoring systems ปรับตัวเพิ่มขึ้น +7.47% โดยราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน
- SunRun ผู้ให้บริการ solar panels และ Battery สำหรับที่อยู่อาศัย ปรับตัวเพิ่มขึ้น +19.09% ทำจุดสูงสุดในรอบ 7 สัปดาห์
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าหุ้นกลุ่ม Renewable Energy ปรับตัวเพิ่มขึ้นตอบรับความคาดหวังการหันมาใช้ พลังงานสะอาด ที่เพิ่มขึ้น หลังราคาน้ำมันมีความผันผวนจากความกังวลสถานการณ์ระหว่าง รัสเซีย-ยูเครน ที่มีแนวโน้มตึงเครียดต่อเนื่อง มองว่าในอนาคต Renewable Energy และ Clean Energy จะเข้ามามีส่วนสำคัญในการใช้พลังงานทั่วโลก นอกจากจะเพื่อเป็นการป้องกันความผันผวนของราคาน้ำมันแล้ว ยังจะถูกนำมาใช้เพื่อเป็นการลดมลพิษและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ที่ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญกันอย่างมากในขณะนี้
ที่มา: Bloomberg, CNBC, Business Insider, European Commission
ข้อมูล บทความ บทวิเคราะห์ และการคาดหมาย รวมทั้งการแสดงความคิดเห็นทั้งหลายที่ปรากฏอยู่ในรายงานฉบับนี้ทำขึ้นบนพื้นฐานของแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดที่ได้รับมา และพิจารณาแล้วเห็นว่า น่าเชื่อถือ แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความถูกต้อง ความสมบูรณ์ แท้จริงของข้อมูลดังกล่าว ความเห็นที่แสดงไว้ในรายงานฉบับนี้ได้มาจากการพิจารณาโดยเหมาะสม และรอบคอบแล้ว และอาจเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่จำเป็นต้องแจ้งล่วงหน้าแต่อย่างใด บทความ บทวิเคราะห์ และการคาดหมายทั้งหลายที่ปรากฏ อยู่ในรายงานฉบับนี้เป็นการนำไปใช้โดยผู้ใช้ยอมรับความเสี่ยง และเป็นดุลยพินิจของผู้ใช้แต่เพียงผู้เดียว
ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บลจ.ทิสโก้ หรือ TISCO Contact Center โทร. 02-633- 6000 กด 4, 02-080-6000 กด 4 และ tiscoasset หรือ แอปพลิเคชัน TISCO My Funds