การพึ่งพากับการพึ่งพิง การลงทุนจากต่างประเทศ

การเกิดสงครามความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนสะท้อนให้เห็นสถานะของประเทศไทยในหลายมิติ รวมถึงเรื่องการลงทุน ซึ่งในปัจจุบันเราอาจจะเรียกได้ว่าเราอยู่ในโลกของการพึ่งพาซึ่งกันและกัน (interdependency world)
แต่ภาวการณ์พึ่งพาซึ่งกันและกันนั้น สามารถแบ่งเป็นได้หลายกรณี เช่น ความสัมพันธ์แบบเท่าเทียมกันและไม่เท่าเทียมกัน (symmetry or sensitivity/asymmetry or vulnerability) และบางกรณีก็ก่อให้เกิดการพึ่งพาแบบสลับซับซ้อน (complex interdependence)
ประเด็นเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงและรวมถึงการพึ่งทุนจากต่างชาติเพื่อมาพัฒนาประเทศ ตัวอย่างเช่น เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี เราสามารถประเมินความสัมพันธ์ในประเด็นเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงเป็นแบบอ่อนไหว (vulnerability) หรือ อาจจะถึงขั้นที่เรียกว่าภาวะการพึ่งพิง (dependency) การที่ไทยเป็นประเทศที่ต้องพึ่งพิงต่อการลงทุนจากต่างชาติ และไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์ให้เป็นแบบพึ่งพาซึ่งกันและกัน และได้ผลประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย (mutual dependency) ดังนั้น จะไม่ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดสถานการณ์ตึงเครียดสงครามทางทหาร หรือ สงครามการค้าระหว่างประเทศ
ความขัดแย้งระหว่างยูเครนกับรัสเซียอาจจะเป็นสัญญาณที่เราต้องกลับมาพิจารณาเรียงลำดับความสำคัญต่อการส่งเสริมอุตสหกรรมการลงต่างจากต่างชาติ เป็นการตอบโจทย์พื้นฐานเศรษฐกิจของคนในประเทศ เช่น การสร้างความมั่นคงทางอาหาร สาธารณะสุข ไปพร้อมกับ 20 อุตสหกรรมแห่งอนาคต เราจะสามารถเปลี่ยนความสัมพันธ์จากการพี่งพิงเป็นพึงพาได้อย่างไร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพึ่งพิงการลงทุนจากต่างประเทศเพื่อมาพัฒนาประเทศ กรณีของอีอีซี จำเป็นหรือไม่เราควรกลับมาทบทวนนโยบายให้ความสำคัญต่อ ความมั่นคงทางอาหาร ในความสำคัญอุตสาหกรรมการเกษตรมากขึ้น และลดการพึ่งพิงทุนนอกและส่งเสริมทุนในประเทศ จากการสร้างธุรกิจใหม่ (new business model) เพราะนอกเหนือจากปัญหาภาวะเงินเฟ้อกับการเพิ่มขึ้นของราคาพลังที่จะส่งผลโดยตรงต่อค่าครองชีพ รวมถึงการเพิ่มต้นทุนของอาหารสัตว์ที่ผลิตจากข้าวสาลีและข้าวโพดที่ประเทศไทยนำเข้าจากประเทศยูเครนที่ส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของค่าครองชีพ ถึงแม้ว่าเราไม่สามารถที่จะคาดการณ์ระยะเวลาของความขัดแย้งได้ แต่เราสามารถคาดการณ์ประเด็นสำคัญที่รัฐต้องรับมือต่อปัญหาเศรษฐกิจและค่าครองซีพของประชาชน
ประเด็นการรับมือต่อสถานการณ์เศรษฐกิจจะส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลและรวมถึงความต่อเนื่องของการพัฒนาอีอีซีอีกด้วย เพราะหากการรับมือต่อสถานการณ์ไม่เป็นผลอาจจะส่งผลต่อให้เกิดการเลือกตั้งใหม่ หากมีการเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ นโยบายการพัฒนาประเทศก็สามารถเปลี่ยนได้เช่นกัน ถึงแม้ว่าพื้นที่อีอีซีจะได้เปรียบเชิงการแข่งขัน คือสถานที่ตั้ง ที่สามารถเชื่อมโยงอาเซียน รวมถึงการเชื่อมระหว่างมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก จะเปลี่ยนไปหรือไม่หากสถานการณ์ไม่คลี่คลายลง เราจะกลับไปอยู่ในโลกของสองฝั่งขั้วอำนาจ (Bi-polar world) หรือไม่ ถ้าหากเป็นเช่นนั้น จะส่งผลอย่างไรต่อการพันธมิตรทางการเมือง การทหาร และเศรษฐกิจการค้า ประเทศเราจะตกอยู่ในสถานการณ์ต้องเลือกข้างหรือไม่ หากต้องเลือกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไทยจะต้องเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดจากการเลือกข้าง
อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญคือ ถ้าเราอยู่ในโลกของภาวะการพึ่งพาซึ่งกันและกัน จำเป็นไหมที่ต้องลดระดับการพึ่งพิงหรือพึ่งพาเม็ดเงินจากต่างประเทศต่อเศรษฐกิจไทย เราจะควรจะดำเนินนโยบายตามแนวคิดการพัฒนาประเทศที่พึ่งพาตัวเองมากขึ้นหรือไม่ (new economic development model) หรือ อย่างน้อยสร้างธุรกิจใหม่ (new business model) ที่จะช่วยเพิ่มความมั่นคงทางรายได้ และสร้างคุณภาพชีวิตของคนทั้งประเทศ ซึ่งเป็นโจทย์ที่สำคัญที่ไม่ใช่ของรัฐบาลแต่เป็นของเราทุกคน และเราควรพึ่งพาตัวเองให้มากขึ้นเพื่อลดการพึ่งพาจากรัฐ สุดท้ายแล้วหลังจากนี้อีอีซียังจะคงเป็นเครื่องจักรสำคัญในการพัฒนาประเทศของเราหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่พรรคการเมืองที่จะถูกเลือกเข้าไปทำหน้ารัฐบาล