โบรกเตือนฟันโฟลว์ชะลอตัว แนะปรับพอร์ตรับมือเงินเฟ้อ
“บล.ทรีนีตี้” ชี้ สัญญาณฟันด์โฟลว์ไหลออกตลาดตราสารหนี้ จากความกังวลเงินเฟ้อ คาดกระทบแรงซื้อในตลาดหุ้น “บล.กสิกรไทย” เผย น้ำมันพุ่ง จีนติดโควิดเพิ่ม กระทบท่องเที่ยว กดดันแรงซื้อแผ่วลง จับตาผลประชุมเฟด “บล.ทิสโก้” แนะระยะสั้นขายกระชับพอร์ต
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ประเมินกระแสเงินลงทุน (ฟันด์โฟลว์) ของกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ มีความเสี่ยงจะไหลออกจากตลาดหุ้นไทยในระยะต่อจากนี้ โดยเป็นผลจากความกังวลเงินเฟ้อของไทยที่ล่าสุดมีความเสี่ยงจะทะลุระดับ 5% ซึ่งส่งผลให้เห็นสัญญาณฟันด์โฟลว์ไหลออกจากตลาดตราสารหนี้ (บอนด์) เพราะเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น กดดันอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) ที่แท้จริงให้ปรับตัวลดลง
สำหรับที่ผ่านมาฟันด์โฟลว์ไหลเข้าตลาดหุ้นไทย เพราะได้อานิสงส์เชิงบวกจากประเด็นความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน ส่งผลให้นักลงทุนต่างประเทศปรับพอร์ตเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย แต่หากความขัดแย้งดังกล่าวคลี่คลายลง ประกอบกับกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ปี 2565 มีความเสี่ยงขาลง (ดาวน์ไซด์) จากภาวะเงินเฟ้อ จะเป็นปัจจัยลบกดดันให้ฟันด์โฟลว์ชะลอการซื้อสุทธิลง
ส่วนการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 15-16 มี.ค.2565 กรณีฐานประเมินว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ตามที่ตลาดคาดการณ์ จากเดิมคาดว่าจะปรับขึ้น 0.50% แม้เงินเฟ้อสหรัฐจะมีแนวโน้มสูงขึ้น แต่เศรษฐกิจยังมีความเสี่ยงถูกกดดันด้วยปัจจัยลบจากสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน โดยกรณีฐานคาดว่านักลงทุนรับรู้ปัจจัยดังกล่าวไปแล้ว จึงคาดว่าจะไม่กระทบต่อความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้น ประเมินกรอบดัชนีระหว่าง 1,620-1,680 จุด
อย่างไรก็ตาม ในกรณีเลวร้ายคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% แต่มีโอกาสน้อยมากเพียง 1-5% เท่านั้น ซึ่งเฟดจะต้องกังวลปัจจัยเสี่ยงด้านเงินเฟ้อในระดับที่สูงมากจนยอมให้เศรษฐกิจถูกกระทบ โดยกรณีเลวร้ายคาดว่าดัชนีจะปรับตัวลงมาเคลื่อนไหวที่ 1,580-1,600 จุด
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน จากสถิติในอดีตช่วงเงินเฟ้อสูงกว่าระดับ 5% จะกดดันการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทย และมีความเสี่ยงสูงที่ดัชนี SET (SET Index) จะแกว่งซึมลง ท่ามกลางภาวะดังกล่าว แนะนำนักลงทุนหาหุ้นที่แกร่งกว่าตลาด โดยเลือกกลุ่มหุ้นที่อยู่ในธุรกิจที่ประชาชนจำเป็นต้องกินต้องใช้ ได้แก่ กลุ่มโรงพยาบาล และกลุ่มสินค้าอุปโภค บริโภคจำเป็น
นายภาสกร ลินมณีโชติ กรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า แม้ประเมินฟันด์โฟลว์มีโอกาสไหลเข้าตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง แต่ด้วยความเสี่ยงสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน ราคาน้ำมันดิบที่พุ่งสูง รวมถึงการกลับมาแพร่ระบาดของโควิด-19 ในจีน จะส่งผลกดดันภาคการท่องเที่ยวของไทย ซึ่งเดิมนักลงทุนคาดหวังการท่องเที่ยวไทยจะกลับมาฟื้นตัวในปีนี้ จึงคาดว่าแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติจะแผ่วลงจากต้นปีถึง 14 มี.ค.2565 ที่ซื้อสุทธิ 8.5 หมื่นล้านบาท
สำหรับการประชุมเฟดคาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ตามที่ตลาดคาดการณ์ แต่แนะนำนักลงทุนติดตามแถลงการณ์ของเฟดเรื่องการดึงสภาพคล่องออกจากระบบ (QT) รวมถึงภาวะเงินเฟ้อในช่วงที่เหลือของปี 2565 หากเฟดคาดการณ์เงินเฟ้อจะทำจุดสูงสุด (จุดพีค) ในช่วงไตรมาส 2 ถึงต้นไตรมาส 3 ปี 2565 คาดว่าดัชนีจะแกว่งตัวในกรอบ 1,650-1,675 จุด แต่หากคาดการณ์เงินเฟ้อทรงตัวสูงในระดับ 6-7% ต่อเนื่องจนถึงปลายปี คาดว่าดัชนีจะแกว่งลงหลุดแนวรับที่ประเมินไว้
ขณะที่กลยุทธ์การลงทุน ภายหลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นสูง ซึ่งส่งผลให้ฝ่ายวิจัยปรับเพิ่มสมมติฐานราคาน้ำมันดิบปีนี้เป็น 95-100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากเดิมคาดการณ์ที่ 69 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และคาดว่าทั้งปีมีโอกาสน้อยมากที่ราคาน้ำมันดิบจะลดลงต่ำกว่าระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ดังนั้น การลงทุนจึงแนะนำซื้อหุ้นที่มีอำนาจในการกำหนดราคา (Pricing Power) ได้แก่ กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์
นอกจากนี้ แนะนำกลุ่มหุ้นต้านเงินเฟ้อจากที่มีปริมาณที่ดินในมือสูง อาทิ บมจ.บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ (BAM) บมจ.แอสเสท เวิรด์ คอร์ป (AWC) และ บมจ.แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH) กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากบอนด์ยิลด์ขาขึ้น บมจ.กรุงเทพประกันชีวิต (BLA) รวมถึงกลุ่มหุ้นคุณค่า (Value Play) บมจ.อมตะ คอร์ปอเรชัน (AMATA) และ บมจ.โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH)
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ระยะสั้นคาดว่าฟันด์โฟลว์จะแผ่วลง ส่วนหนึ่งเพราะเดือน เม.ย.และ พ.ค. เป็นช่วงที่นักลงทุนต่างชาติได้รับเงินปันผล ประกอบกับคาดว่าเฟดจะประกาศขึ้นดอกเบี้ย 0.25% จึงแนะนำนักลงทุนระมัดระวังความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นในช่วงนี้ ขณะที่การลงทุนระยะสั้นแนะนำขายกระชับพอร์ต ส่วนระยะกลางถึงยาวแนะนำทยอยสะสมกลุ่ม Value Play ในกลุ่มธนาคาร กลุ่มค้าปลีก และกลุ่มโรงพยาบาล