‘มัลดีฟส์’ ดาวเด่นแห่งเอเชีย กู้รายได้เชนโรงแรมไทย!
ทันทีที่ “มัลดีฟส์” ดำเนินนโยบาย “เปิดประเทศเต็มรูปแบบ” ด้วยโมเดล “สวรรค์อันปลอดภัย” เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจการท่องเที่ยวซึ่งเป็นรายได้หลักของมัลดีฟส์ ฝ่าคลื่นยักษ์โควิด-19 กราฟการฟื้นตัวพุ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
จากปี 2562 มัลดีฟส์มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยือน 1.7 ล้านคน ปี 2563 มีจำนวน 5.55 แสนคน และในปี 2564 มีจำนวน 1.32 ล้านคน คิดเป็นการฟื้นตัวถึง 77% เมื่อเทียบกับปี 2562
ธีระยุทธ จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา กล่าวว่า จากผลการดำเนินงานในปี 2564 ที่ผ่านมา พบว่า “ดาวเด่น” ของโรงแรมในเครือเซ็นทาราคือที่ “มัลดีฟส์” กับนครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คาดการณ์ว่าจะเป็นโรงแรมที่ช่วยสร้างรายได้หลักให้กับเครือเซ็นทาราในปี 2565 โดยเฉพาะมัลดีฟส์ เพราะตั้งแต่เปิดประเทศด้วยมาตรการและเงื่อนไขการเดินทางที่ผ่อนคลายอย่างมาก โดดเด่นด้วยภูมิประเทศแบบเกาะ ช่วยลดโอกาสการแพร่เชื้อโควิด-19 ทำให้มีผลการดำเนินงานฟื้นตัวดีมากจากโควิด-19 บางวันมีอัตราการเข้าพักเต็ม 100% หลังไม่ได้เห็นภาพนี้มาเป็นปี ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวอินเดียกว่า 50% เดินทางเข้าพักมากเป็นอันดับ 1
“ตั้งแต่เดือน ธ.ค.2564 ผลการดำเนินงานของโรงแรมในมัลดีฟส์เทียบกับเดือน ธ.ค.2562 ถือว่าฟื้นตัวดีอย่างมาก ทั้งที่ไม่มีตลาดหลักนักท่องเที่ยวจีน โดยได้ตลาดอินเดียกับรัสเซียเข้ามาทดแทน แต่พอเกิดวิกฤติรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลกระทบต่อตลาดนักท่องเที่ยวรัสเซีย จำเป็นต้องเร่งหานักท่องเที่ยวจากตลาดอื่นๆ เข้ามาชดเชย เสริมกำลังหลักอย่างอินเดียในช่วงนี้ ขณะรอการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีน”
ทั้งนี้ เครือเซ็นทาราเดินหน้าลงทุนในมัลดีฟส์อย่างต่อเนื่อง จากปัจจุบันเปิดให้บริการโรงแรมที่เป็นเจ้าของเอง 2 แห่ง โดยเพิ่งถมเกาะเสร็จไป 3 เกาะ เพื่อพัฒนาโรงแรมและบริการในมัลดีฟส์เพิ่มเติม โดยโรงแรมแห่งที่ 3 ของเครือเซ็นทาราในมัลดีฟส์ ขณะนี้ผ่านขั้นตอนการออกแบบเสร็จแล้ว คาดเริ่มก่อสร้างในปีนี้ แล้วเสร็จในอีก 2 ปีข้างหน้า
ด้านรายงานข่าวจากบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า เมื่อไตรมาส 4 ปี 2564 ดุสิตธานีมีรายได้จากธุรกิจโรงแรมที่ “ลงทุนเองในต่างประเทศ” เพิ่มขึ้น 95.1% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2563 โดยเพิ่มขึ้นจาก “โรงแรมดุสิตธานี มัลดีฟส์” เนื่องจากกำลังเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวหรือไฮซีซั่น ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวจากประเทศซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กาตาร์ รัสเซีย และอินเดีย ส่วนโรงแรมดุสิตธานี มะนิลา ได้ลูกค้าเป็นกลุ่มนักธุรกิจที่เดินทางมาในประเทศและชาวฟิลิปปินส์ที่เดินทางกลับเข้ามาในประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้องเข้าสถานที่กักกันตามคำสั่งของรัฐบาล อีกทั้งยังได้เปิดให้บริการสำหรับผู้ที่ต้องการพักผ่อนแบบสเตย์เคชั่น (Staycation) เมื่อปลายเดือน พ.ย.ที่ผ่านมาอีกด้วย
สำหรับรายได้ในปี 2564 เพิ่มขึ้น 66.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การเพิ่มขึ้นดังกล่าวเป็นผลจากรายได้ของโรงแรมดุสิตธานี มัลดีฟส์ ที่เพิ่มขึ้น 119.6% จากการกลับมาให้บริการตามปกติตั้งแต่ปลายไตรมาส 2 ปี 2563 โดยมีกลุ่มลูกค้าหลักจากประเทศอินเดียและรัสเซีย ด้านโรงแรมดุสิตธานี มะนิลามีรายได้ที่เพิ่มขึ้น 10.8% แม้ว่าประเทศฟิลิปปินส์ยังคงมีมาตรการล็อกดาวน์หลายรูปแบบในพื้นที่ต่างๆ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรคโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง
รายงานข่าวจากบริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทลูกในเครือบริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ปี 2564 ถือเป็นปีที่ดีสำหรับการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและโรงแรมของมัลดีฟส์ ถึงแม้ว่าในช่วงไตรมาสที่ 2 จะได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้า ส่งผลให้ทางรัฐบาลมัลดีฟส์ต้องตัดสินใจออกคำสั่งห้ามนักเดินทางจากประเทศในแถบเอเชียใต้ 8 ประเทศ เช่น อินเดีย และศรีลังกา เดินทางเข้ามัลดีฟส์เป็นการชั่วคราว
อย่างไรก็ดี หลังจากที่สถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย รัฐบาลมัลดีฟส์ได้กลับมาเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวจากประเทศในแถบเอเชียใต้อีกครั้งเมื่อเดือน ก.ค.2564 ส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวจากอินเดีย ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มลูกค้าตลาดหลักของมัลดีฟส์เดินทางท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก
โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามัลดีฟส์สะสมตลอดปี 2564 อยู่ที่ 1.3 ล้านคน ฟื้นตัวมากกว่า 77% เมื่อเทียบกับจำนวน 1.7 ล้านคนเมื่อปี 2562 ก่อนเกิดวิกฤติโควิด-19
ขณะที่ไตรมาส 4 ที่ผ่านมา มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามัลดีฟส์อยู่ที่ 4.51 แสนคน มากกว่าในช่วงเดียวกันของปี 2562 ซึ่งมี 4.48 แสนคน ทั้งนี้กลุ่มประเทศในเอเชีย เช่น จีน เกาหลี และญี่ปุ่น ที่เคยเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักของมัลดีฟส์ ยังไม่ผ่อนปรนมาตรการเดินทางออกนอกประเทศ แต่ถ้าสถานการณ์ดีขึ้น จำนวนนักท่องเที่ยวที่หายไปจะกลับมาทันที และจะทำให้มีจำนวนนักท่องเที่ยวรวมมากกว่าปีก่อนเกิดโควิด-19 อย่างแน่นอน
ทั้งนี้ในรอบปีที่ผ่านมา โรงแรมทั้ง 2 แห่งในโครงการ “ครอสโร้ดส์ มัลดีฟส์” เฟส 1 ได้รับรางวัลเป็นจำนวนมากจากเวทีระดับสากล ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งคู่ฮันนีมูน กลุ่มครอบครัว กลุ่มสัมมนา และกลุ่มเพื่อน ต่างจากรีสอร์ททั่วไปในมัลดีฟส์ที่เหมาะสำหรับคู่รักฮันนีมูนเท่านั้น ช่วยหนุนให้โรงแรมทั้ง 2 แห่งในโครงการฯประสบความสำเร็จ ในไตรมาส 4 ที่ผ่านมามีอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยรายวัน (ADR) อยู่ที่ 418 ดอลลาร์สหรัฐต่อห้องต่อคืน หรือซึ่งเป็น ADR ที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เปิดให้บริการมาตั้งแต่เดือน ก.ย.2562 และสูงกว่า ADR ในช่วงเดียวกันของปีก่อนโควิด-19 อยู่ 9%