กลุ่มอุตฯ เตรียมรับมือค่าไฟพุ่ง กกพ.จ่อคลอดแผนค่าไฟฟ้าฐานกลางปีนี้
กกพ.เร่งปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าฐาน คาดประกาศใช้กลางปี 65 ฉายภาพต้นทุนมากขึ้น ย้ำผู้ใช้ไฟบ้านไม่ได้รับผลกระทบแน่นอน
นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในฐานะโฆษกกกพ. เปิดเผยว่า กกพ.อยู่ระำว่างจัดทำโครงสร้างค่าไฟฟ้าใหม่ทั้งระบบ ซึ่งอาจจะมีการปรับค่าไฟฟ้าฐานจากปัจจุบันอยู่ที่ 3.76 บาทต่อหน่วย เนื่องจากเป็นรอบที่ต้องมีการปรับประจำอยู่แล้ว 3-5 ปีต่อครั้ง ซึ่งอัตราค่าไฟฟ้าฐานปัจจุบันได้มีการใช้มาตั้งแต่ปี 2558 เพื่อให้สอดคล้องกับการใช้พลังงานมากขึ้นจึงต้องมีการพิจารณาใหม่ ซึ่งคาดว่าภายในเดือนเม.ย. 2565 จะประกาศพร้อมเปิดรับฟังความคิดเห็น ก่อนกำหนดใช้ได้ภายในกลางปี 2565
ทั้งนี้ ค่าไฟฟ้าฐานมีแนวโน้มสูงขึ้น จากการปรับใช้หลายครั้งก็มีการขยับขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อสะท้อนโครงสร้างพื้นฐานในการผลิตไฟฟ้า รวมถึงการใช้เชื้อเพลิง แต่ครั้งล่าสุดนี้ยอมรับว่าอาจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง โดยเฉพาะกลุ่มที่ใช้ไฟฟ้าภาคอุตสาหกรรม หรือมีมิตเตอร์ไฟสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้ากิจการขนาดใหญ่ (TOU) เนื่องจากจะมีการเกลี่ยอัตราเรียกเก็บไฟฟ้าในช่วงความต้องการใช้ไฟสูง (พีก) และนอกช่วงเวลาดังกล่าว (ออฟ-พีก) ใหม่ ให้สะท้อนการใช้งานจริง แต่ยืนยันว่าสำหรับผู้ใช้ไฟบ้านจะไม่ได้รับผลกระทบกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวแน่นอน
นายคมกฤช กล่าวว่า แนวโน้มค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) ในช่วงต่อไป คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างแน่นอนสะท้อนการใช้ต้นทุนก๊าซธรรมชาติมาผลิตไฟจากเริ่มต้นที่ 8% ในช่วงปี 2554 จนถึงปี 2564 ที่เพิ่มขึ้นเป็น 33% และปัจจุบันเพิ่มขึ้นมากกว่า 40% แล้ว จึงทำให้แนวโน้มค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่จะต้องตรึงหรือลดค่าเอฟทีนั้น จำเป็นต้องจะมีคนเข้ามาแบกรับต้นทุนตรงนี้ แต่ขณะที่รัฐโดยกระทรวงพลังงานได้เปลี่ยนโครงสร้างการผลิตไฟไปที่การรับซื้อจากโครงการพลังงานของ สปป.ลาว เพิ่มขึ้นก็มองว่าเป็นผลดีเนื่องจากเป็นการผลิตไฟที่ต้นทุนราคาคงที่
ทั้งนี้ กกพ. ยังได้มีการติดตามราคาก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลอ็นจี) เนื่องจากปัจจุบันราคาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในตลาดจร (สปอต) ซึ่งอาจจะกระทบมายังราคาค่าไฟแน่นอน เนื่องจากต้องยอมรับว่าประเทศไทยเปิดการนำเข้าแอลเอ็นจีเสรีช้าเกินไป ปัจจุบันจึงมีสัญญาระยะยาวน้อย รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานในการกักเก็บ อาทิ คลังก็มีไม่เพียงพอ ปัจจุบันจึงต้องใช้แหล่งสปอตเข้ามาช่วย ซึ่งถ้าเปิดเสรีตั้งแต่ปี 2562 เชื่อว่าปัจจุบันก็จะมีราคาก๊าซที่ลงตัว ขณะที่ปัจจุบันนั้นหลายเจ้าที่ได้สิทธิ์นำเข้าเสรี (ชิปเปอร์) ก็ยังกังวลต่อราคาอยู่