ทำไม Cryptocurrency ยังไม่เหมาะนำมาใช้เป็นสื่อกลาง ชำระค่าสินค้า-บริการ?

ทำไม Cryptocurrency ยังไม่เหมาะนำมาใช้เป็นสื่อกลาง ชำระค่าสินค้า-บริการ?

ธปท.ย้ำ ทำไม Cryptocurrency ยังไม่เหมาะนำมาใช้เป็นสื่อกลางในการชำระค่าสินค้าและบริการ เหตุผันผวนสูง ไม่สามารถใช้แทนเงินบาทได้ เสี่ยงต่อภัยไซเบอร์

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาย้ำ ว่าทำไม Cryptocurrency ยังไม่เหมาะนำมาใช้เป็นสื่อกลางในการชำระค่าสินค้าและบริการ?

      โดยหากอ่านหลักการทิศทางสำคัญและแนวนโยบายการปรับภูมิทัศน์ภาคการเงินไทย ธปท.ที่ผ่านมาระบุว่า แนวทางการ กำกับให้เท่าทันความเสี่ยงในโลกใหม่​

     จำเป็นต้อง ยกระดับการกำกับดูแลความเสี่ยงสำคัญรวมถึงความเสี่ยงจากผู้ให้บริการทางการเงินที่มีความสำคัญเชิงระบบภายใต้โลกการเงินใหม่ โดยมีแนวนโยบายที่สำคัญ เช่น

      ไม่ต้องการเห็นสินทรัพย์ดิจิทัลถูกใช้เป็นสื่อการชำระเงิน (means of payment) แทนเงินบาทในวงกว้างเนื่องจากอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงและส่งผลกระทบต่อประชาชนและระบบเศรษฐกิจการเงิน

 

ทำไม Cryptocurrency ยังไม่เหมาะนำมาใช้เป็นสื่อกลาง ชำระค่าสินค้า-บริการ?
        

    โดย ไม่ต้องการเห็นการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อชำระค่าสินค้าแทนเงินบาท​

      แต่สนับสนุนการเรียนรู้ ทดสอบ และลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ เพื่อพัฒนาบริการทางการเงิน ภายใต้การบริหารความเสี่ยง ที่เหมาะสม 

 

    ทั้งนี้การที่ ธปท. ไม่ต้องการเห็นการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้เพื่อชำระค่าสินค้าและบริการแทนเงินบาท (means of payment: MOP) ในวงกว้าง เนื่องจากหากถูกนำมาใช้ในวัตถุประสงค์นี้อย่างแพร่หลายจะก่อให้เกิดหน่วยวัดมูลค่า (unit of account)

      นอกเหนือจาก สกุลเงินบาท ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสี่ยงและส่งผลกระทบต่อประชาชนและระบบเศรษฐกิจการเงินในหลายมิติ ได้แก่

- ต้นทุนและความปลอดภัย ของผู้ใช้หรือรับชำระสินทรัพย์ดิจิทัล เนื่องจากราคาสินทรัพย์ดิจิทัลมีความผันผวนสูง ระบบยังไม่มีมาตรฐานการดูแลความปลอดภัย และอาจเป็นช่องทางในการฟอกเงิน

- เสถียรภาพระบบการชำระเงิน เนื่องจากอาจทำให้เกิดระบบการชำระเงินที่กระจายตัว (fragmentation) และซ้ำซ้อน

     ซึ่งอาจลดทอนประสิทธิภาพของระบบและทำให้ต้นทุนการชำระเงินของประเทศสูงขึ้น และเสถียรภาพการเงินและความสามารถในการดูแลภาวะการเงินในประเทศ เช่น ไม่มีองค์กรที่จะสามารถปล่อยสภาพคล่องในรูปสกุลเงินดิจิทัลให้กับระบบการเงินหากเกิดวิกฤติ เป็นต้น

      ทั้งนี้ มุมมองและแนวนโยบายของ ธปท. ต่อสินทรัพย์ดิจิทัลสอดคล้องกับผู้กำกับดูแลในหลายประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา ยุโรป เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และมาเลเซีย 

การกำกับสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศต่าง ๆ

    เอลซัลวาดอร์ ยอมรับ Bitcoin เป็นสื่อกลางที่สามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย (ก.ย. 2564) 

- สหรัฐอเมริกา เสนอกฎหมายเพื่อจำกัดการออก stablecoin ให้มาจากสถาบันรับฝากเงินเท่านั้น

ส่วน key entities อื่น เช่น wallet provider ที่ช่วยให้เกิดการใช้ stablecoin เป็นสื่อกลางชำระค่าสินค้าหรือบริการต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของภาครัฐ

- สหภาพยุโรป เสนอ Regulation on Markets in Crypto-assets (MiCA) เพื่อกำกับดูแลคริปโทฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง stablecoin รวมถึงการประกอบธุรกิจของผู้ให้บริการเพื่ออกใช้ในปี 2567 (2563)

- สหราชอาณาจักร อยู่ระหว่างรับฟังความเห็นเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ในเรื่องคริปโทฯ และ stablecoin (2564)

- สิงคโปร์ กำกับเหรียญที่เข้าข่าย e-money ด้วยกฎหมายด้านระบบการชำระเงิน และห้ามซื้อขายคริปโทฯ ในพื้นที่สาธารณะ และห้ามจ้าง influencer เพื่อโฆษณา (ม.ค. 2565)

- ฮ่องกง อยู่ระหว่างพิจารณานโยบายและติดตามท่าทีของต่างประเทศและองค์กรระหว่างประเทศ โดยเสนอจะกำกับ stablecoin ที่ใช้เพื่อการชำระเงิน

- มาเลเซีย มองว่าคริปโทฯ ไม่มีคุณสมบัติที่จะนำมาใช้เป็นสื่อกลางการชำระค่าสินค้าและบริการ (ธ.ค. 2563)

- ไทย ไม่สนับสนุนให้นำมาใช้เป็นสื่อกลางในการชำระค่าสินค้าและบริการ เพราะมีความเสี่ยงในภาพรวม

- อินเดีย อยู่ระหว่างเสนอกฎหมายเพื่อห้ามการใช้คริปโทฯ ในการชำระค่าสินค้าและบริการ (ธ.ค. 2564)

- อินโดนีเซีย ห้ามใช้คริปโทฯ ในการชำระเงิน (2561) และสภาศาสนาอิสลามห้ามใช้คริปโทฯ เป็นสกุลเงิน (2564)

- จีน คริปโทฯ และการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับคริปโทฯ เป็นสิ่งผิดกฎหมาย (ก.ย. 2564)

     อย่างไรก็ตาม สำหรับบริการและระบบเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลบางประเภทที่เป็นประโยชน์ในการเพิ่มประสิทธิภาพการชำระเงินและการต่อยอดนวัตกรรมทางการเงิน ธปท. จะพิจารณาแนวทางการกำกับดูแลที่เหมาะสม เพื่อคุ้มครองผู้ใช้บริการและป้องกันความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงินและระบบการชำระเงิน 

    โดยตัวอย่างของบริการเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลที่จะพิจารณากำกับดูแล อาทิ การออกใช้สินทรัพย์ดิจิทัลที่หนุนหลังด้วยเงินบาท (Thai Baht-backed stablecoin) โดยจะพิจารณากำกับดูแลในด้าน

ขอบเขตการประกอบธุรกิจ

     การสร้างความเชื่อมั่นในสินทรัพย์ดิจิทัลที่ออก และการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของระบบเทคโนโยลีสารสนเทศและข้อมูลส่วนบุคคล

   โดยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงและลักษณะการให้บริการ

 

การประยุกต์ใช้สินทรัพย์ดิจิทัลสำหรับสถาบันการเงินหรือกลุ่มธุรกิจฯ​

     สถาบันการเงินหรือกลุ่มธุรกิจฯ ที่ต้องการนำเทคโนโลยีการประมวลผลแบบกระจายศูนย์ (เช่น blockchain) ที่จะต้องมีการถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการทางการเงิน

    หรือบริษัทในกลุ่มธุรกิจฯ ที่ต้องการประกอบธุรกิจเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล สามารถมาหารือ ธปท. ได้เป็นรายกรณี 

   โดย ธปท. จะพิจารณาบนพื้นฐานของประโยชน์ แนวทางการดำเนินงาน การบริหารความเสี่ยงต่อกลุ่มธุรกิจฯ และสถาบันการเงิน รวมทั้งการคุ้มครองผู้ฝากเงินและผู้บริโภคที่เหมาะสม

   ซึ่งรูปแบบการนำไปใช้หรือรูปแบบการประกอบธุรกิจเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลจะต้องไม่เป็นการสนับสนุนการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อชำระค่าสินค้าและบริการ (MOP) ในวงกว้าง อันกระทบต่อเสถียรภาพระบบการชำระเงินและเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ

     การลงทุนในธุรกิจเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลของสถาบันการเงินในต่างประเทศ และแนวทางการอนุญาตให้สถาบันการเงินและกลุ่มธุรกิจฯ ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลของแต่ละประเทศ

     ในช่วงที่ผ่านมา สถาบันการเงินและกลุ่มธุรกิจฯ ในไทยมีความสนใจที่จะนำเทคโนโลยีมาใช้พัฒนานวัตกรรม ทางการเงินและบริการทางการเงินให้ดีขึ้น รวมทั้งลงทุนหรือประกอบธุรกิจเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น ตามแนวโน้มความสนใจของประชาชน1 ขณะที่สถาบันการเงินในต่างประเทศมีการลงทุนในธุรกิจเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลค่อนข้างจำกัด

    โดยส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในธุรกิจที่ให้บริการรับฝากสินทรัพย์ดิจิทัล (digital asset custody) ผู้กำกับดูแลในหลายประเทศจึงยังอยู่ระหว่างพิจารณาแนวทางการอนุญาตและกำกับดูแล การประกอบธุรกิจและการถือครองสินทรัพย์ดิจิทัล 

 

แนวทางการอนุญาตให้สถาบันการเงินและกลุ่มธุรกิจฯ ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลของแต่ละประเทศ​

- สิงคโปร์ อนุญาตให้ประกอบธุรกิจ/ทำธุรกรรม DA ได้ตามหลักเกณฑ์ที่มีอยู่ (กำกับแบบ activity-based) (อ้างอิงเพิ่มเติม 1, 2)

- สวิสเซอร์แลนด์ อนุญาตให้ประกอบธุรกิจ/ทำธุรกรรม DA ได้ตามหลักเกณฑ์ปัจจุบัน (กำกับแบบ activity-based)

- สหรัฐอเมริกา กฎหมายระดับ Federal โดย OCC ให้ทำได้เฉพาะ DA custodian (หารือรายกรณี) และการออก stable coin เพื่อ payment (อ้างอิงเพิ่มเติม)

- ไทย บริษัทลูก หารือ ธปท. รายกรณี ธพ. ไม่ให้ประกอบธุรกิจ/ทำธุรกรรม DA ยกเว้น การออก/ถือครองเพื่อพัฒนานวัตกรรมทางการเงิน

- ฮ่องกง หารือ HKMA รายกรณี

- สหราชอาณาจักร หารือ PRA รายกรณี

- อินโดนีเซีย ไม่อนุญาตให้ประกอบธุรกิจ/ทำธุรกรรมที่เกี่ยวกับ DA

- จีน ไม่อนุญาตให้ประกอบธุรกิจ/ทำธุรกรรมที่เกี่ยวกับ DA (อ้างอิงเพิ่มเติม)

     ที่ผ่านมาธปท.ได้เปิดรับฟังความคิดเห็น ว่าสินทรัพย์ดิจิทัลสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนานวัตกรรมและบริการทางการเงินที่ไม่ใช่เพื่อชำระค่าสินค้าและบริการแทนเงินบาท (MOP) ใดบ้าง

      รวมทั้งข้อเสนอแนะเเนวทางในการบริหารจัดการหรือปิดความเสี่ยงจากการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้เพื่อประโยชน์ดังกล่าว เช่น การคุ้มครองผู้ใช้บริการ การรักษาความมั่นคงปลอดภัยของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและข้อมูลส่วนบุคคล

    ทั้งนี้ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)มีกำหนดการ Media Briefing เรื่อง "แนวทางการกำกับดูแลกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับดิจิทัล"

      โดย ดร.รุ่ง มัลลิกะมาส ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย  วันนี้ เวลา 16.30 – 17.30 น.