KCE ประมาณการ 1Q65: จะถูกกดดันจากการที่ค่ายรถยุโรปหยุดการผลิต

KCE ประมาณการ 1Q65: จะถูกกดดันจากการที่ค่ายรถยุโรปหยุดการผลิต

กรณีพิพาทระหว่างรัสเซียและยูเครน ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์หลายค่ายประกาศหยุดการผลิต โดยเฉพาะค่ายรถยุโรปอย่างเช่น Renault, Audi และ Continental

ทั้งนี้ เนื่องจากรายได้ของ KCE มาจากยุโรปประมาณ 50% ของยอดขายรวม และ 70% ของรายได้รวมเกี่ยวข้องกับกลุ่มยานยนต์ ดังนั้น การที่ผู้ผลิตรถยนต์หยุดการผลิตอาจจะทำให้มีการเลื่อนสั่งซื้อสินค้าจาก KCE ดังนั้น เราจึงคาดว่ายอดขายของ KCE จะลดลงใน 1Q65 เหลือ US$122 ล้าน (+8% YoY แต่ -3% QoQ) คิดเป็น 23% ของประมาณการกำไรเต็มปีของเรา (541 ล้านดอลลาร์ฯ; +15% YoY)

 

อัตรากำไรขั้นต้นมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น QoQ

มีทั้งปัจจัยบวกและลบที่ส่งผลกับอัตรากำไรขั้นต้นของ KCE ได้แก่ราคาทองแดงที่ขยับเพิ่มขึ้น, เงินบาทที่อ่อนค่าลง, การปรับราคาขาย (~3%), และการเริ่มเปิดดำเนินการกำลังการผลิตใหม่ ทั้งนี้ ราคาทองแดงเฉลี่ยอยู่ที่ US$9,950/ton ใน 1Q65 เพิ่มขึ้น 17% YoY จาก US$8,494/ton ใน 1Q64 และ เพิ่มขึ้น 4% QoQ US$9,584/ton ใน 4Q64 ในขณะเดียวกัน อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยใน 1Q65 อยู่ที่ 33.00 บาท/ดอลลาร์ฯ (จาก 30.30 บาท/ดอลลาร์ ใน 1Q64 และ 33.30 บาท/ดอลลาร์ฯ ใน 4Q64) เราคาดว่าผลบวกจากค่าเงิน,การปรับราคา, และ ประสิทธิภาพในการผลิตที่ดีขึ้น จะมีผลมากกว่าราคาทองแดงที่ปรับตัวขึ้น ดังนั้น เราจึงคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะเพิ่มขึ้นเป็น 26.2% (+1.1ppts YoY, +0.9ppts QoQ) ซึ่งยังต่ำกว่าสมมติฐานปี 2565 ของเราที่ 29.0% เทียบกับเป้าหมายของบริษัทที่ 30.0%

 

 

 

คาดว่ากำไรจะเพิ่มขึ้น YoY ใน 1Q65 และทุกไตรมาสที่เหลือของปีนี้

เราคาดว่ากำไรสุทธิของ KCE ใน 1Q65 จะอยู่ที่ 649 ล้านบาท (+51% YoY, +1% QoQ) คิดเป็น 23%ของประมาณการทั้งปี เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจากการปรับราคา และ เปิดดำเนินการกำลังการผลิตใหม่อย่างราบรื่น ยอดขายมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปี ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นมีแนวโน้มขยายตัวตาม และ ส่งผลให้เราคาดว่ากำไรของ KCE จะเพิ่มขึ้น YoY ในทุกไตรมาสของปีนี้

 

Valuation & action

เรายังคงราคาเป้าหมายสิ้นปี 2565 เอาไว้ที่ 80.00 บาท อิงจาก PER ที่ 33.0x (PER ถ่วงน้ำหนักสำหรับ EV ที่ 80.0X และ PER ของกลุ่มธุรกิจอื่นที่ 29.0X; คิดเป็น PEG ที่ 1.1x) และคงคำแนะนำ “ซื้อ”

 

Risks

ภัยธรรมชาติ, มีการปิดโรงงานนอกแผน, ลูกค้าเปลี่ยนไปสั่งสินค้าจาก supplier รายอื่น, ขาดแคลนวัตถุดิบ, เงินบาทแข็งค่าขึ้น (เราใช้สมมติฐานอัตราแลกเปลี่ยนปี 2565-66 ที่ 33.50 บาท/ดอลลาร์ฯ)