AMATA ลุยซื้อที่ดินสปป.ลาว หลังบอร์ดอนุมัติเงินทุน
“อมตะ” เผยบอร์ดอนุมัติเงินลงทุนซื้อที่ดินในสปป.ลาว คาดเริ่มพัฒนาไตรมาส 2 หรือ ต้นไตรมาส 3 นี้ แจง มีแบ็กล็อก 4.98 พันล้าน คาดโอนปีนี้ ราว 3 พันล้าน
นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA เปิดเผยความคืบหน้าการลงทุนใน เมืองอุตสาหกรรมทันสมัย “AMATA SMART & ECO CITY” ที่สปป.ลาว ว่า ล่าสุดคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) ได้อนุมัติวงเงินลงทุนเบื้องต้นแล้ว ซึ่งบริษัทได้โอนเงินไปที่สปป.ลาว เพื่อนำไปซื้อที่ดินเพื่อรอการพัฒนาต่อไป โดยคาดว่าบริษัทจะเริ่มพัฒนาพื้นที่ได้ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2565 หรือ ต้นไตรมาส 3 ปี 2565 เป็นต้นไป ซึ่งเริ่มเฟสแรกที่ได้รับใบอนุญาตมากว่า 2,500 ไร่
โดยมองความต้องการลงทุนในนิคมลาวอยู่ในระดับสูง เนื่องจากเห็นโอกาสที่ดีของ พื้นที่นิคมอยู่บริเวณหน้าสถานีรถไฟนาเตย ของรถไฟจีน-ลาว ซึ่งเอื้อความสะดวกต่อการเดินทาง และขนส่ง อีกทั้งยังไม่มีคู่แข่ง ซึ่งการลงทุนครั้งนี้เป็นโครงการแรก มีการศึกษาความเป็นไปได้หลายปีแล้ว และเนื่องจากพื้นที่นิคมเป็นเส้นทางที่รถไฟผ่าน ลูกค้าหลักจะเน้นไปที่กลุ่มที่เกี่ยวกับการขนส่งที่จะเหมาะสมมาก ซึ่งมีลูกค้าสนใจที่ต้องการขยายพื้นที่ไปยังสปป.ลาวเป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้ ในปี 2565 บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายที่ดินไว้ที่ 1,000 ไร่ หรือเติบโต 10-20% โดยได้รับปัจจัยหนุนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น และการที่รัฐบาลมีมาตรการผ่อนคลายเพื่อให้เกิดการเดินทางเข้าประเทศของคนต่างชาติ ซึ่งนักลงทุนเริ่มทยอยเข้ามาติดต่อ เจรจา เพื่อขอศึกษาและดูพื้นที่จริงหลังจากปีที่ผ่านมาไม่สามารถเดินทางเข้ามาประเทศไทยได้ ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงาน, ยานยนต์ไฟฟ้า (EV), โลจิสติกส์, อิเล็กทรอนิกส์
ส่วนประเด็นความสงครามรัสเซีย-ยูเครน มองว่าไม่ค่อยกังวลมาก แต่ประเด็นที่กังวลคือกลุ่มประเทศมหาอำนาจเข้าไปเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งดังกล่าว เนื่องจากหากความขัดแย้งอาจจะบานปลายจะกระทบภาพรวมได้
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่ 4,982 ล้านบาท (ณ 31 ธ.ค.2564) คาดว่าปีนี้จะสามารถทยอยโอนได้ประมาณ 60-70% หรือราว 3,000 ล้านบาท ขณะที่บริษัทมีที่ดินรอการพัฒนาอีกราว 12,531 ไร่ แบ่งเป็น ที่ดินในอมตะชลบุรี จำนวน 9,925 ไร่ และ อมตะระยอง 2,605 ไร่
“แนวโน้มธุรกิจจะมีความสดใสมากขึ้น หลังจากมีการเปิดเมือง โดยในปีนี้ก็คาดว่าจะกลับมาฟื้นตัวได้ดี และแผนการเปิดประเทศโดยไม่ต้องกักตัวมีความชัดเจนขึ้น เป็นโอกาสที่นักลงทุนเดินทางมาเยี่ยมชมพื้นที่มีมากขึ้น”