บลจ.จิตตะ จับชีพจรเศรษฐกิจจีนปีเสือ  ถึงเวลาลงทุนตลาดหุ้นจีนหรือยัง?

บลจ.จิตตะ จับชีพจรเศรษฐกิจจีนปีเสือ  ถึงเวลาลงทุนตลาดหุ้นจีนหรือยัง?

บลจ.จิตตะ มองตลาดผันผวนแต่สุดท้ายจะเกิดการ “ปรับสู่ภาวะที่เหมาะสมตามธรรมชาติ” ชี้ “ตลาดหุ้นจีน” รับอานิสงส์ มาตรการที่รัฐบาลจีนออกมากระตุ้น กลุ่มหุ้นภาคการผลิต -พลังงานสะอาด เน้นคัดหุ้นพื้นฐานดีเข้าพอร์ตทำผลตอบแทนดีระยะยาว

ท่ามกลางสถานการณ์ "ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน" ในช่วงเวลากว่าหนึ่งเดือน สร้างความผันผวนในตลาดการเงิน ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลก

การงัดข้อกันระหว่าง 2 ค่ายของโลกทั้งแนวร่วมของ องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ(NATO) ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ และประเทศในยุโรป ที่พร้อมใช้ทุกมาตรการเพื่อคว่ำบาตรรัสเซียให้ได้

หลังจากที่ดำเนินการผ่านตลาดการเงิน ด้วยการตัดธนาคารกลางรัสเซียบางส่วนออกจากระบบการชำระเงินทั่วโลกของ SWIFT ถือเป็นการระงับการทำธุรกรรมทางการเงินส่วนใหญ่ ด้านรัสเซียก็สามารถดิ้นหาทางออก ทำธุรกรรมผ่านประเทศจีน มหาอำนาจฝั่งตรงข้ามฝั่งสหรัฐฯ เช่นกัน

แน่นอนว่า ‘สงคราม’ เป็นอีกประเด็นใหญ่ของโลกที่เพิ่มแรงกดดันในไตรมาสแรกของปี 2565 นี้ นอกเหนือจากประเด็นร้อนอย่างภาวะเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นสูงขึ้น นำโดยสหรัฐฯ โลกแห่งการลงทุนกำลังเผชิญความท้าทายจากกระแสร้อนที่ประดังเข้ามาไม่ขาดสาย ล้วนกระทบต่อตลาดในระยะสั้น 

แต่สำหรับ"ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. จิตตะ เวลธ์ ผู้ให้บริการกองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth  เชื่อว่า ไม่ว่าตลาดหุ้นจะตอบสนองต่อข่าวต่างๆ อย่างไร ในที่สุดตลาดจะปรับเข้าสู่ภาวะสมดุลในตัวของมันเอง เพื่อที่จะเดินหน้าต่อไปในอนาคต 

"จริงๆแล้ว เรื่อง ‘ภาวะการปรับสมดุล’ ไม่ใช่เกิดขึ้นแต่เรื่องตลาดหุ้นเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม เมื่อเกิดภาวะความไม่สมดุลขึ้น สักพักก็จะปรับสู่ภาวะที่เหมาะสมตามธรรมชาติ ภาพที่เห็นชัดเจน คือ ภาวะเศรษฐกิจเมื่อมีขาลงก็ต้องมีการปรับตัวและเริ่มฐานใหม่เพื่อเข้าสู่ขาขึ้น"

หน้าที่หลักของนักลงทุนมืออาชีพ 

จำเป็นต้องติดตามสถานการณ์และเรียนรู้กับสิ่งที่เปลี่ยนแปลง ภายใต้หลักการลงทุนที่ถูกต้อง ซึ่งจะทำให้เห็นโอกาสและผลลัพธ์ในการลงทุนที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า แม้จะตกอยู่ในช่วงวิกฤตก็ตาม ย่อมจะมีโอกาสดีๆ แฝงอยู่เสมอ

ต้นปี 2565 หุ้นจีนพลิกกลับมาบวกสวนตลาดโลกที่ร่วง และหนึ่งในวิกฤตที่เป็นโอกาสการลงทุนในสายตาของผม คือ การหาคำตอบว่าถึงเวลาจะเข้าลงทุนหุ้นจีนได้หรือยัง?

หลังจากปีที่แล้ว นักลงทุนทั่วโลกบอบช้ำกับการลงทุนในตลาดหุ้นจีนกันไม่น้อย ขณะที่ตลาดหุ้นในประเทศต่างๆ ปรับตัวขึ้นกันรับผลตอบแทนสองหลัก ถือเป็นปีทองกันหลายแห่งเลย

นำโดย ดัชนีดาวโจนส์ ปรับตัวขึ้นถึง 19% ตามด้วยดัชนีแนสแดกที่เป็นตัวแทนหุ้นเทคโนโลยีทั่วโลก ปรับตัวขึ้น 21% แม้แต่ตลาดหุ้นไทยก็บวก 14% มาดูตลาดหุ้นจีนติดลบทุกตลาด นำโดยดัชนี CSI300 ที่ติดลบ 5% ดัชนีฮั่งเส็งที่ปรับลดลง 14% ดัชนี MSCI China -22% แต่ทิศทางในช่วงต้นปี 2565 นี้ ภาพพลิกกลับข้างเป็นบวกสำหรับตลาดหุ้นจีน ทั้งดัชนี MSCI China ดัชนี CSI300 และดัชนีฮั่งเส็ง

สวนทางกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่บอบช้ำหนักทุกดัชนี เมื่อผมแนะนำไปก็มีนักลงทุนถามกลับมาว่า ถึงเวลาลงทุนหุ้นจีนได้แล้วหรือ? ปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจและภาคธุรกิจต่างๆเป็นอย่างไรหลังจากที่ปีที่แล้ว จีน shock โลกหลายประเด็นร้อนอย่างหนักหน่วงต่อนักลงทุนจริงๆ

เศรษฐกิจจีนปี 64 โตแกร่ง ฝ่ามรสุม 2 ลูกที่ช็อกโลก

คงจำกันได้เมื่อช่วงต้นปี 2564 รัฐบาลจีนเดินหน้า‘ตัดตอน’ ธุรกิจที่ผูกขาดตลาดของกลุ่มบริษัทเทคยักษ์ใหญ่หลายแห่งจนระส่ำกันเป็นแถว นำโดย Alibaba,Tencent ,Meituan,Didi Chuxing และบริษัทเทคต่างๆอีกจำนวนมาก และยังขยายผลไปยังธุรกิจติวเตอร์ออนไลน์ (Tech Education) ทางการจีนทั้งตรวจสอบและสั่งปรับเป็นจำนวนเงินมหาศาล จนกระทบฐานะทางการเงินของบริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งและทำราคาหุ้นร่วงกันไปไม่น้อย ต่อมารัฐบาลยังออกกฎหมายใหม่เพื่อกำกับดูแลธุรกิจเทคโนโลยีมา 2 ฉบับ เกี่ยวกับกฎหมายความปลอดภัยของข้อมูล (Data Security Law) และกฎหมายปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Information Protection Law : PIPL) ที่เริ่มมีผลบังคับใช้ปี 2564 ทำให้ธุรกิจต่างๆ เร่งปรับตัวระลอกใหญ่ เพื่อตั้งหลักเดินหน้าธุรกิจภายใต้กฎระเบียบใหม่กันในปีนี้  นอกจากนี้ยังมีธุรกิจเกมที่ได้รับผลกระทบจากรัฐบาลจีนที่เข้ามาจัดระเบียบเช่นกัน

อีกประเด็นร้อนที่ช็อกโลกของจีนครึ่งปีหลัง คือ เกิดภาวะฟองสบู่แตกของภาคอสังหาริมทรัพย์  จากการผิดนัดชำระหนี้ของยักษ์อสังหาฯ ของจีน ‘บริษัท เอเวอร์แกรนด์’ ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปยังภาคธนาคารจีน ทำให้ทางการจีนต้องใช้นโยบายการเงินในการเพิ่มสภาพคล่องและกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการปรับลดสัดส่วนกันสำรองธนาคารพาณิชย์ (RRR) ในอัตรา 0.5% ตั้งแต่ปีที่แล้ว และยังมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) สำหรับกู้ 1 ปีลง  0.05% ด้วย

แต่เชื่อหรือไม่ว่า ปีที่แล้ว อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจีน (GDP) สามารถขยายตัว 8.1% สูงกว่าเป้าหมายที่ทางการจีนตั้งไว้ที่ไม่ต่ำกว่า 6% ทั้งๆ ที่เผชิญกับปัญหาหนักๆ แบบ hard Landing ในหลายภาคธุรกิจใหญ่ๆ 

เมื่อดูไส้ในภาพเศรษฐกิจจีน ยังเห็นภาคการบริโภคเอกชนที่ยังคงเติบโต แม้มีการปิดเมืองบางแห่งเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด Covid-19 ก็ตาม ด้านภาคการผลิตยังคงถูกกดดันจากต้นทุนการผลิตที่ยังอยู่ในระดับสูง หลังจากประสบภาวะวิกฤตพลังงาน ขณะที่มีการนำเข้าพลังงานถ่านหินและรัฐบาลหันมาสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดมากขี้น

ที่โดดเด่นคือ ภาคการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรเติบโตได้ดี

ในภาคการผลิตและอุตสาหกรรมไฮเทค โดยเฉพาะการลงทุนในด้านการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และการสื่อสาร การผลิตคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สำนักงาน อย่างโรงงานผลิตชิป รถไฟฟ้าฯลฯ ที่เป็น hard tech เหล่านี้ ยังเติบโตได้ และไม่ได้ถูกกระทบ ภาพก็คือรัฐบาลก็ไม่ได้ต่อต้านบริษัทเทคโนโลยีทั้งหมด ส่วนพวกธุรกิจที่ผูกขาดจะเป็นพวกแพลตฟอร์มรายใหญ่ต่างๆ อีคอมเมิร์ช บริการทางการเงิน ติวเตอร์ รถแท็กซี่ ฯลฯ  ซึ่งเป็น soft tech จะถูกกระทบหนักจากการเข้ามาจัดระเบียบเพื่อลดการผูกขาด แต่ก็ทำให้ธุรกิจรายเล็ก เอสเอ็มอี สตาร์ทอัพมีที่ทำมาหากินและเติบโตได้ สร้างฐานเศรษฐกิจกระจายตัวและมีความมั่นคงแข็งแรงในระยะยาว

ภาคการส่งออกในปีที่แล้ว แม้สถานการณ์สงครามการค้ายังไม่คลี่คลาย จีนยังเกินดุลการค้ามูลค่าสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกในปี 2493 สินค้าที่ขยายตัวโดดเด่น อาทิ อุปกรณ์ยานยนต์ ผลิตภัณฑ์เหล็ก อลูมิเนียม แต่ผลิตภัณฑ์พวกสิ่งทอและเส้นด้ายหดตัว ด้านการนำเข้ายังคงขยายตัวสูงต่อเนื่อง ส่วนใหญ่อยู่ในสินค้าโภคภัณฑ์ อย่างถ่านหิน ทองแดง เหล็ก

ภาพเศรษฐกิจในปีที่แล้วของจีน ถือเป็นปีที่จัดระเบียบการค้าเสรีภายในประเทศที่สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น บาลานซ์กับการพึ่งพิงเศรษฐกิจต่างประเทศ  ตอกย้ำว่า รัฐบาลจีนกำลังมุ่งหน้าสู่นโยบาย Common Prosperity หรือเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน ที่มีเป้าหมายกระจายรายได้สร้างความมั่นคั่งให้แก่กลุ่มชนชั้นกลางและกลุ่มชนชั้นล่าง

ผลตอบรับจากการที่รัฐบาลจีนเข้ามาแทรกแซงกลไกตลาดเสรีในภาคธุรกิจ soft tech  นับเป็นภาพเชิงบวกที่ได้จากเหล่านักวิชาการ นักลงทุนทั้งในจีน เอเชียและโลกตะวันตก รวมถึงประชาชนชาวจีนวงกว้าง โดยรัฐบาลไม่ปล่อยให้ภาคธุรกิจในจีน ตกเป็นทุนนิยมแบบชาวตะวันตกที่แข่งขันเสรีจนกลายเป็นการปล่อยให้ใครมือยาวสาวได้สาวเอา เกิดการแข่งขันไม่เป็นธรรม

สะท้อนว่า รัฐบาลจีนสนับสนุนการสร้างเศรษฐกิจให้เติบโตจากภาคการผลิตมากกว่าภาคการบริการ เพราะภาคการผลิตยิ่งมีผลิตภาพสูง ธุรกิจก็ยิ่งขยายตัว ยิ่งมีการจ้างงานได้เยอะ คนก็มีรายได้กันถ้วนหน้า สามารถใช้จ่ายได้สร้างภาคการบริโภคเติบโต และยังช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม ตอบทุกโจทย์ความเป็นเป้าหมาย ‘เจริญรุ่งเรืองร่วมกัน’

จับชีพจรเศรษฐกิจจีนปีนี้  อัดยาแรงทั้งดอกเบี้ย-เติมเงิน-ลดภาษี

ปีนี้ทิศทางการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน รัฐบาลจีนประกาศชัดเจนว่า จะใช้ทั้งนโยบายการเงินและการคลังเชิงรุก เพื่อเป็นแรงส่งให้เศรษฐกิจมีพลังเติบโตต่อเนื่องและตั้งเป้าหมาย GDP เติบโต 5.5% พร้อมเน้นการกระตุ้นด้วยการดำเนินนโยบายการคลังและนโยบายการเงิน

ในด้านนโยบายการคลังจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้รัฐบาลได้ประกาศงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพิ่มขึ้น 2 ล้านล้านหยวน ส่วนหนึ่งนำไปกระตุ้นเศรษฐกิจจากมาตรการลดรายจ่ายและลดภาษีของภาคประชาชนและภาคธุรกิจ ขณะที่รัฐบาลจะเพิ่มการใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนธุรกิจขนาดย่อม เพื่อสร้างตลาดเศรษฐกิจภายในประเทศให้สมบูรณ์ 

นอกจากนี้จีนยังประเดิมนโยบายการเงินกระตุ้นเศรษฐกิจตั้งแต่ต้นปีนี้ โดยธนาคารกลางแห่งประเทศจีนส่งรายได้เข้ารัฐฯ กว่า 1 ล้านล้านหยวน ซึ่งเป็นรายได้ที่มาจากดอกเบี้ยเงินสำรองระหว่างประเทศที่มีมากถึง 3.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ธนาคารกลางแห่งประเทศจีนได้กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงินผ่อนคลาย ด้วยการลดดอกเบี้ย Loan Prime Rate ระยะเวลา 1 ปี และ 5 ปี Medium Loan Facility ระยะเวลา 1 ปี และ Reverse Repo ระยะเวลา 7 วัน นอกจากปรับลดอัตราดอกเบี้ยแล้ว ธนาคารกลางแห่งประเทศจีนได้อัดฉีดเงินระบบไปแล้วกว่าล้านล้านหยวนตั้งแต่ต้นปี 2565

จับสัญญาณตลาดหุ้นจีน ผ่านนโยบายภาครัฐ?

หันกลับมามองตลาดหุ้นจีน จากมุมมองของผมกับการลงทุนระยะยาว เชื่อว่านักลงทุนทั่วโลกยังต้องให้น้ำหนักต่อการลงทุนในหุ้นจีนอยู่ เนื่องจากเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่รองจากสหรัฐฯ และปีนี้จีนก็เดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งนโยบายการเงินและการคลังที่ยังมีช่องว่างให้ดำเนินการได้ เพราะภาวะเงินเฟ้อยังไม่สูงมาก

แม้ก่อนหน้านี้ ตลาดหุ้นจีนทำตัวเซื่องซึมจากนโยบายที่เข้มงวดของรัฐบาลจีนมาเกือบ 2 ปี แถมยังมีความประเด็นว่าบริษัทจีนอาจถูกเพิกถอนออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ สถานการณ์เช่นนี้นักลงทุนอาจจะเกิดความกังวลและมองว่าแรงกดดันในตลาดหุ้นจีนน่าจะยังอยู่ไปอีกยาวนาน บางรายถอดใจยอมตัดขายหุ้นจีนออกไปก่อน เพื่อหาจังหวะเข้าลงทุนใหม่เมื่อหุ้นจีนกลับมาเป็นขาขึ้น แต่เหตุการณ์อาจไม่เป็นเช่นนั้น

สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงพุ่งทะยานขึ้นเพียงชั่วพริบตาเดียว โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทค พากันโดดผึงขึ้นมา 20-30% เช่น Tencent (+23.15%) JD.com (+35.63%) Alibaba​(+27.29%) Meituan​(+32.07%)  

ขณะที่กลุ่มหุ้นจีนในตลาดฮ่องกงปรับตัวเพิ่มขึ้น 12.50% ในช่วงปิดตลาด เป็นการบวกที่มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2008 สาเหตุหลักมาจากมาตรการของรัฐบาลจีนที่ได้ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนในด้านต่างๆ ทั้งการสร้างเสถียรภาพตลาดทุน สนับสนุนบริษัทจีนจดทะเบียนในตลาดหุ้นต่างประเทศ แก้ปัญหาลดความเสี่ยงภาคอสังหาริมทรัพย์ เตรียมสิ้นสุดมาตรการควบคุมบริษัทเทคโนโลยี และการสร้างความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลจีน ‘เอาอยู่’ เรื่องหนี้ภาคอสังหาริมทรัพย์

แม้รายละเอียดจะยังไม่ชัดเจน แต่มาตรการทั้งหมดของรัฐบาลจีนจะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน กำจัด ‘ความเสี่ยง’ หลายเรื่องออกไปจากตลาดหุ้น ดันราคาหุ้นให้เป็นไปตามพื้นฐานของบริษัท เพราะที่ผ่านมา การสื่อสารนโยบายของจีนมักสร้างความคลุมเครือให้ตลาดหุ้น สร้างความหวาดผวาให้นักลงทุน แต่เมื่อรัฐบาลเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับตลาดทุนมากขึ้น ผมมองว่าจะหนุนให้ตลาดหุ้นฮ่องกงและจีนจะมีทิศทางที่ดีขึ้น และหากมาตรการช่วยเหลือมีความชัดเจนมากขึ้น จะยิ่งสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศได้

ส่วนจะเลือกลงทุนหุ้นจีนอะไรดีนั้น?

หากดูจากภาพรวมเศรษฐกิจกับนโยบายรัฐบาลที่เน้นความสำคัญของภาคการผลิตมากกว่าภาคบริการ พร้อมกับแผนสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด  สร้างความมั่นคงให้แก่ประเทศหลังปีที่แล้วเผชิญภาวะวิกฤตพลังงานมาแล้ว และการไปสู่เป้าหมาย Common Prosperity 

ผมคิดว่าควรโฟกัสภาคธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับภาคการผลิต พลังงานสะอาด หรือธุรกิจที่ตอบโจทย์เป้าหมาย Common Prosperity ในขณะที่ soft tech ยังมีอุปสรรคในการเติบโตอยู่บ้าง แต่เป้าหมายที่แท้จริงของรัฐบาลจีนในการควบคุมคือส่งเสริมการแข่งขันอย่างเท่าเทียม เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญและลดการผูกขาด

นักลงทุนอาจจะงงและอยากถามว่า สรุปตลาดหุ้นจีน ถึงเวลาลงทุนแล้วใช่หรือไม่  ?

มาตรการที่รัฐบาลจีนออกมา ส่งผลดีต่อตลาดหุ้นอย่างชัดเจนโอกาสการลงทุนในจีนจึงยังเปิดกว้างสำหรับนักลงทุน ปัจจัยลบต่างๆ ส่งผลกระทบในระยะสั้น แต่ระยะยาวเศรษฐกิจจีนจะขยายตัวตามพื้นฐานของประเทศ มูลค่าการบริโภคในประเทศจากประชากรจำนวนมหาศาล การลงทุนโครงการขนาดใหญ่จำนวน 102 โครงการภายในปี 2025 และมูลค่าการส่งออกที่ยังเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก ปัจจัยเหล่านี้จะช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างมั่นคงได้ในอนาคต 

แต่ช้าก่อน การลงทุนในตลาดหุ้นไม่ว่าประเทศไหนก็ตาม คุณควรเข้าใจก่อนว่า ข่าวเชิงลบและเชิงบวกเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา สร้างความผันผวนและอารมณ์ของนักลงทุนส่วนใหญ่

เพราะฉะนั้นคุณต้องเตือนสติตัวเองอยู่เสมอๆ และยึดมั่นหลักการลงทุนที่ชัดเจน เพราะปัจจัยเหล่านี้เกิดขึ้น ‘ระยะสั้น' สุดท้ายมันก็จะผ่านไปได้เอง ผมจึงอยากชวนทุกท่านให้มาอยู่ในทีม‘ทนสถานการณ์’ มากกว่าทีม ‘ทันสถานการณ์’ จะดีกว่า

 ‘หลักการลงทุนที่ดีชัดเจน’

สำหรับผมและ Jitta เรายึดหลักการลงทุนหุ้นคุณค่า หรือ VI ตามแบบฉบับ Warren Buffettที่เลือก ‘ซื้อหุ้นดีมีอนาคต ราคาถูก’  หลังจากนั้นคือการเตรียมรับมือต่อความผันผวนด้วย ‘สติ’  มีการปรับพอร์ตอย่างสม่ำเสมอ เพราะสถานการณ์เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา  

แต่สำหรับบางคนที่รอเวลาให้เห็นภาพสถานการณ์ข่าวร้ายสุดก่อน ค่อยเข้าลงทุนในจุดต่ำสุดของสถานการณ์ หรือคอยจับจังหวะการลงทุนที่จุดต่ำสุดของเหตุการณ์นั้น

"ผมว่าในความเป็นจริงคงไม่มีใครซื้อหุ้นที่จุดต่ำสุดได้ตลอดเวลา ผมจึงอยากจะย้ำว่า สุดท้ายแล้วคุณอาจจะเสียโอกาสการลงทุนเพื่อหาผลตอบแทนที่ดีไปได้"

การถือสินทรัพย์ที่พื้นฐานดีไปเรื่อยๆ และคอยติดตามข่าวสารอย่างมีสติ ว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดอะไรขึ้นบ้างโดยไม่ต้องไปคาดการณ์ ไม่ต้องจับจังหวะตลาด เท่านี้ก็ทำผลตอบแทนดีๆ ระยะยาวได้