พื้นที่เล็กลง-เวิร์คฟรอมโฮม-ออนไลน์ดันบริการเช่าห้องเก็บของส่วนตัวบูม
"สตอเรจ เอเชีย" เผย3 ปัจจัยหนุน " พื้นที่เล็กลง เวิร์คฟรอมโฮม ธุรกรรมออนไลน์ฮอต ส่งผลให้บริการเช่าห้องเก็บของและทรัพย์สินส่วนตัวในไทยเติบโต 200-300% วางแผนขยายพื้นที่ให้บริการทั่วประเทศ และต่างประเทศในอีก 3-4 ปีข้างหน้าใน เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์
นายภักดี อนิวรรตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้งบริษัท สตอเรจ เอเชีย จำกัด บริษัทที่ให้บริการให้เช่าห้องเก็บของและทรัพย์สินส่วนตัวระดับพรีเมี่ยมของประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ "i-Store" เปิดเผยว่าตลอดระยะเวลา 4 ปีที่บริษัท สตอเรจ ฯ เปิดให้บริการให้เช่าห้องเก็บของนอกบ้านส่วนตัวภายใต้แบรนด์ i -Store Self Storage พบว่าธุรกิจนี้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งในส่วนของบริษัทสตอเรจฯ และของผู้ประกอบการรายอื่นๆที่ดำเนินธุรกิจในรูปแบบเดียวกัน ซึ่งเห็นได้จากการลงทุนขยายพื้นที่เก็บของและทรัพย์สินรวมกันของผู้ประกอบการ 4-5 รายจาก 5,000 ตารางเมตร(ตร.ม.) เพิ่มเป็น 20,000 ตารางเมตร และมีอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ยมากกว่า 80%
" ดูจากการขยายพื้นที่เก็บของของผู้ประกอบการแต่ละรายแล้ว ผมว่าโดยรวมตลาดน่าจะเติบโต 200-300% และแนวโน้มตลาดยังโตได้อีกมาก "
นายภักดี กล่าวต่อว่า ธุรกิจให้บริการให้เช่าห้องเก็บของและทรัพย์สินส่วนตัวขยายตัวต่อเนื่องมาจากปัจจัยหลัก คือ พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ดังนี้
1 . พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ตามพื้นที่ที่อยู่อาศัยที่จำกัดหรือมีขนาดพื้นที่ใช้สอยที่เล็กลง โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม โดยลูกค้าที่อาศัยอยู่ในคอนโดฯจะเป็นกลุ่มหลักที่มาใช้บริการของบริษัท สตอเรจฯ ซึ่งก็มีทั้งลูกค้ารายบุคคล และ เป็นลักษณะ Co-Promotion ร่วมกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่
2. พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนหรือปรับตัว จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ผู้บริโภคทั้งที่อาศัยอยู่บ้านหรืออยู่คอนโดฯต้องการพื้นที่ work from home ทำให้ต้องการพื้นที่สำหรับเก็บสิ่งของและทรัพย์สินนอกบ้านเพิ่ม
3. การเติบโตของตลาดE-Commerce (อีคอมเมิร์ซ) หรือธุรกิจซื้อ-ขายผ่านช่องทางออนไลน์ ที่สต็อกสินค้า
จากแนวโน้มการเติบโตที่ต่อเนื่องของตลาดหลังจาก บริษัท สตอเรจ ฯ เปิดให้บริการให้เช่าห้องเก็บของนอกบ้านส่วนตัวระดับพรีเมียมด้วยโลเคชั่นใจกลางเมืองภายใต้แบรนด์ i-Store Self Storage เพื่อแก้ปัญหาสำหรับลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่อาศัยอยู่ในคอนโดฯ ที่ต้องการพื้นที่ในการจัดเก็บสิ่งของ
รวมถึงนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ต้องมาทำงานทั้ง Expat และ workcation ซึ่งตอนนี้แนวโน้มจำนวนชาวต่างชาติเริ่มกลับมา ประกอบกับก้าวเข้าสู่ปีที่ 5 ที่ก่อตั้งบริษัท สตอเรจฯ ดังนั้น จึงได้เตรียมความพร้อมรองรับการบริการลูกค้าและการเติบโตของบริษัท สตอเรจฯ ทั้งในรูปแบบ ขยายสาขาหรือเพิ่มจุดบริการ และ เปิดแพลตฟอร์มบริการใหม่เข้ามาเพื่อให้บริการครบวงจร
การเปิดแพลตฟอร์มบริการใหม่เพื่อต่อยอดโอกาสทางธุรกิจนั้น ล่าสุด ได้เปิดตัว i-StoreGo เสริมบริการให้เช่าพื้นที่เก็บของนอกบ้านที่ไม่ต้องออกจากบ้านแบบครบวงจรผ่านระบบการจัดการออนไลน์
เจ้าหน้าที่เป็นผู้ไปรับและส่งคืนสิ่งของถึงบ้านของลูกค้าแบบ Door to Door โดยทีม i-StoreGo เป็นผู้จัดการและจัดเก็บรักษาสิ่งของของลูกค้า ลูกค้าสามารถเรียกของคืนได้เพียงเลือกสิ่งของที่ต้องการ เจ้าหน้าที่ก็จะดำเนินการส่งคืนให้กับลูกค้าตาม Concept "Cloud storage but for your stuff" โดยตั้งเป้ายอดผู้ใช้บริการในปี 2565 นี้ประมาณ 1,000 ราย และในปี 2566 ตั้งเป้าเพิ่มเป็น 3,000 ราย
นายสเตฟาโน คาสสิโอ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจบริษัท สตอเรจ เอเชีย จำกัด ได้กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของ i-StoreGo ว่าเกิดจากการเล็งเห็นความต้องการของลูกค้าในช่วงที่ผ่านมาที่ต้องการจัดระเบียบบ้านให้พร้อมสำหรับการทำงาน และการรีโนเวทบ้าน แต่ไม่สามารถเดินทางออกจากบ้านได้ i-StoreGo จึงพัฒนาบริการนี้เพื่อตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการเก็บของ
ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถเลือกเก็บของชิ้นเล็กตั้งแต่ เอกสาร หนังสือ รองเท้า ของใช้ส่วนตัว เสื้อผ้า จักรยาน ถุงกอล์ฟ หรือ กระเป๋าเดินทาง ไปจนถึงของขนาดใหญ่ โดยสามารถเลือกการจัดเก็บเป็นขนาดตามความต้องการของลูกค้า โดยบริการนี้เจ้าหน้าที่ของ i-StoreGo จะเป็นผู้ดูแลทั้งเรื่องการแพ็ก การขนย้าย จัดเก็บ และส่งคืน ผ่านระบบการจัดการออนไลน์ ด้วยบริการแบบ One stop service นี้จะช่วยลดความยุ่งยากในการจัดเก็บของลูกค้าไปได้เยอะอีกด้วย
นายภักดี ยังกล่าวด้วยว่า จากอัตราการเติบโตในการทำธุรกรรมออนไลน์ในประเทศไทยสูงขึ้น i-StoreGo จึงต่อยอดจากธุรกิจเดิมมาเป็นการให้บริการออนไลน์เพื่อรองรับลูกค้าได้กว้างขึ้นโดยไม่จำกัดจำนวน unit ในส่วนของการ disrupt กันในธุรกิจตนมองว่าเป็นการเสริมกันมากกว่า เพราะทำให้แบรนด์มีความแข็งแรงและยังสร้างความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้ามากขึ้น เพราะเมื่อของลูกค้าถูกจัดเก็บจะได้รับการดูแลและเอาใจใส่เป็นอย่างดี ภายใต้แบรนด์ i-Store ทั้งนี้ ยังมองเห็นว่า i-StoreGo Door to Door Storage จะทำให้ธุรกิจมีความครบวงจรสามารถช่วยแก้ปัญหาและนำเสนอทางออกที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้าได้ และสามารถตอบโจทย์การใช้งานเมื่อลูกค้าเปลี่ยนพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปใช้มือถือกันมากขึ้น
i-StoreGo มีแผนขยายพื้นที่ให้บริการไปทั่วประเทศไทย และต่างประเทศในอีก 3-4 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะประเทศที่มีประชากรหนาแน่น เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งบริการดังกล่าวเหมาะกับผู้ที่ต้องการพื้นที่ใช้สอย และต้องการความสะดวกสบายเป็นหลัก