สมาคมนักวิเคราะห์ คาดตลาดหุ้นสิ้นปีแตะ 1,774 จุด อานิสงส์ฟันด์โฟลว์ไหลเข้า
สมาคมนักวิเคราะห์ส่องหุ้นไทยสิ้นปีเด้งแตะ 1,774 จุด รับอานิสงส์เงินไหนเข้าของนักลงทุนต่างชาติ รับข่าวผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนพุ่ง
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุน รวม 27 สำนัก เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนในไตรมาส 2-4 ของปี 2565 สรุปได้ดังนี้
สถานการณ์การเมืองโลก รัสเซียยูเครน ส่งผลกระทบประมาณการราคาน้ำมันดิบ เฉลี่ยทั้งปี 2565 สูงขึ้น จากคาดเดิมเมื่อ 3 เดือนก่อนที่ 69.90 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาเป็น 94.03 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และทำให้ต้องลดคาดการณ์ การขยายตัวของ GDP ไทยปี 2565 จากเดิมที่ 3.71% ลงมาเหลือ 3.09%
อย่างไรก็ตาม ทิศทางการลงทุนในปี 2565 นี้ ยังได้ผลบวกที่ชัดเจนมาจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ Fund Flows จากต่างประเทศ และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่มีกำไรเติบโต โดยมีผู้โหวตถึง 81% และ 74% ตามลำดับ
ส่วนปัจจัยด้านลบ ยังคงมาจาก แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED มีผู้โหวตมากถึง 89% ส่วนอันดับ 2 ที่พุ่งแรงในครั้งนี้คือปัจจัยการเมืองในต่างประเทศ มีผู้โหวต 78% ตามติดมาด้วย ปัจจัยเศรษฐกิจโลก และปัจจัยการเตรียมลดมาตรการQEทั่วโลก มีผู้โหวต 74% และ 67% ตามลำดับ
ทางด้านอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย ความเห็นส่วนใหญ่ 65% มองว่าจะคงที่ตลอดปีนี้ รองลงมาคือ มองว่าจะปรับขึ้น 0.25% ในปีนี้มีผู้โหวต 27% ของผู้ตอบ และสุดท้ายคือ ที่มองว่าจะปรับขึ้น 0.50% ในปีนี้มีผู้โหวต 7%
ส่วนทางด้านคาดการณ์ผลกำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนปี 2565 เฉลี่ยที่ 89.11 บาทต่อหุ้น เป็นการเติบโต 9.33% จากปี 2564 อย่างไรก็ตาม ตัวเลขคาดการณ์ใหม่นี้ ต่ำกว่าการสำรวจครั้งก่อน ซึ่งอยู่ที่ 89.59 บาทต่อหุ้นเล็กน้อย
ทางด้านคาดการณ์ SET Index ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2565 นั้น มีผู้โหวต 44% ที่คาดว่าจะเป็น Sideways และมีผู้โหวต 41% ที่มองว่าIndex จะมีทิศทางลบ ที่เหลือ15% มองเป็นทิศทางบวกในไตรมาส 2 ส่วนคาดการณ์ SET Index ณ สิ้นไตรมาส 2 อยู่ที่ 1688 จุด
ส่วนมุมมองจากไตรมาสที่ 2 ไปถึงสิ้นปี คาดว่าSET Indexจะแกว่งตัวในกรอบ 1567 ถึง 1774 จุด และปิดสิ้นปี 2565 ที่ 1747 จุด
นักวิเคราะห์แนะนำให้กระจายพอร์ตการลงทุน แบ่งเป็น
• เงินสดและเงินฝากระยะสั้น 13.85%
• กองทุนตราสารหนี้ 13.15%
• หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 29.46%
• หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ 27.29%
• กองทุนอสังหาฯหรือ REIT 8.66%
• ทองคำหรือกองทุนทองคำ 7.41%
• อื่นๆ 0.18%
สำหรับในส่วนของการลงทุนหุ้นไทยนั้น แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุน ในหมวดธุรกิจ ค้าปลีก ธนาคาร การท่องเที่ยว และสื่อสาร
ในขณะที่ให้ลดน้ำหนักการลงทุนใน หมวดธุรกิจปิโตรเคมี พลังงานและสาธารณูปโภค รวมถึง ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
รายชื่อหุ้นเด่นที่แนะนำตรงกันมาก คือ BDMS KBANK และ MAKRO
ท้ายที่สุด นักวิเคราะห์ยังได้เพิ่มเติมการแนะนำนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจไปยังรัฐบาล ได้แก่ การเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ มีนโยบายช่วยเหลือประชาชน
โดยดูแลค่าใช้จ่ายผู้มีรายได้น้อย รวมถึงมาตรการให้สิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษี เพื่อกระตุ้นภาคการบริโภค ส่วนด้านช่วยเหลือภาคธุรกิจนั้น ได้แก่ เร่งแผนเปิดประเทศ ดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ ช่วยเหลือภาคธุรกิจที่โดนผลกระทบจากราคาพลังงานสูงขึ้น