"อนุสรณ์ ธรรมใจ"มองเฟดลดงบดุลทำ"ดอลลาร์แข็ง-บาทอ่อน"หวั่นค่าครองชีพพุ่ง
รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ มองเฟดเริ่มลดงบดุล 9.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ในเดือนพ.ค. นี้ หวังช่วยลดแรงกดดันเงินเฟ้อ หนุนดอลลาร์แข็งค่า ส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าช่วยกระตุ้นการส่งออกและการท่องเที่ยวไทย แต่ในขณะเดียวกันต้นทุนการนำเข้าจะสูงขึ้น กระทบค่าครองชีพประชาชน
รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย และอดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ม.รังสิต ประเมินว่า ธนาคารกลางสหรัฐเตรียมปรับลดงบดุลหรือลดการซื้อทรัพย์สินทางการเงินในตลาดการเงินเดือนละ 95,000 ล้านดอลลาร์ หรือ ประมาณ 3.135 ล้านล้านบาท โดยจะเริ่มต้นลดขนาดงบดุลในเดือนพ.ค. นี้ จากเดิมคาดจะเริ่มลดขนาดงบดุลลงในเดือนต.ค.
แบ่งเป็นการลดการซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐลงเดือนละ 60,000 ล้านดอลลาร์ และลดซื้อตราสารที่มีสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์หนุนหลังเดือนละ 35,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะทำให้ปริมาณเงินดอลลาร์ในระบบทยอยลดลง ทำให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นและเป็นช่วงเวลาขาขึ้นของค่าเงินดอลลาร์และจะเริ่มเห็นสัญญาณชัดเจนตั้งแต่ต้นเดือนพ.ค. เป็นต้นไป โดยค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นจะช่วยกดอัตราเร่งของเงินเฟ้อในสหรัฐให้ชะลอลงบ้าง
ขณะเดียวกันจะทำให้เงินสกุลหลักบางสกุลรวมทั้งค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม การปรับลดงบดุลและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะส่งต่อความผันผวนต่อตลาดการเงินโลกในระดับหนึ่งเท่านั้น เนื่องจากตลาดการเงินโลกได้ปรับฐานมาระยะหนึ่งแล้ว
และธนาคารกลางสหรัฐได้ส่งสัญญาณการเพิ่มนโยบายการเงินแบบเข้มงวดมาเป็นระยะๆ สิ่งที่น่าเป็นห่วง คือ ไทยจะสามารถชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้อีกนานเท่าไหร่ หากเศรษฐกิจไม่กระเตื้องขึ้นดีนัก จะส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของหนี้เสียในระบบสถาบันการเงินไทยอย่างแน่นอน
รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวว่า ในอีกด้านหนึ่งการอ่อนตัวลงของค่าเงินบาทจะช่วยสนับสนุนการส่งออกสินค้าเกษตรและสินค้าที่ใช้วัตถุดิบภายในประเทศสัดส่วนสูงให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาที่เหลือของปี และช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวได้บ้าง
อย่างไรก็ตาม การนำเข้าราคาพลังงานที่สูงขึ้นจากการอ่อนค่าของเงินบาท และปัญหาทางด้านอุปทานของตลาดพลังงานโลก ทำให้ต้นทุนการผลิตเพื่อการส่งออกสูงขึ้นเช่นเดียวกัน การอ่อนตัวลงของเงินบาทจะทำให้อัตราเงินเฟ้อภายในประเทศเร่งตัวขึ้นอีกในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้
ส่วนประเด็นการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อรัสเซียล่าสุด กรณีไม่นำเข้าถ่านหินจากรัสเซีย และไม่นำเข้าพลังงานก๊าซธรรมชาติและน้ำมันในระยะต่อไป จะไม่ส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลกมากนัก เนื่องจากปริมาณน้ำมันจากคลังสำรองทางยุทธศาสตร์ที่ถูกปล่อยออกมาในตลาดโลก
นอกจากนี้การกลับมาเริ่มส่งออกน้ำมันของอิหร่านช่วยประคับประคองไม่ให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น ทางด้านอุปสงค์ต่อพลังงานก็ชะลอตัวลงด้วยจากการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลกและการกลับมาล็อกดาวน์ของจีนในบางพื้นที่
รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวอีกว่า การงดนำเข้าถ่านหินจากรัสเซียช่วยตอบสนองต่อนโยบายสิ่งแวดล้อมของอียู ลดภาวะโลกร้อน ก่อให้เกิดการจ้างงาน การลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างมากในธุรกิจอุตสาหกรรม Renewable Energy ทั้งหลาย ส่งผลบวกต่อธุรกิจอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด พลังงานทางเลือก พลังงานหมุนเวียน ซึ่งมีบริษัทที่เป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดพลังงานทางเลือกและ Renewable Energy ของโลกหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น บริษัทในเยอรมนี ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ และประเทศยุโรปเหนืออย่าง ฟินแลนด์ นอร์เวย์ เดนมาร์ก
การบริโภคและการใช้พลังงานหมุนเวียนและพลังงานทางเลือกของสมาชิกอียูอยู่ที่ระดับ 23-24% ของการบริโภคพลังงานทั้งหมดและมีเป้าหมายตามแผนการ European Green Deal 2050 เพื่อให้เป็นภูมิภาคที่เป็น World first climate-neutral Continent เท่ากับว่า การพึ่งพาการนำเข้าพลังงานฟอสซิส (Fossil Fuel) จากรัสเซียจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญอยู่แล้ว
อย่างประเทศสวีเดน นอร์เวย์ เดนมาร์ก ฟินแลนด์ ใช้พลังงานหมุนเวียนในสัดส่วนสูงถึง 30-67.5% สัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนและพลังงานทางเลือกเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งกว่าเดิมและใช้เวลาในการบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เร็วขึ้น
ส่วนการคว่ำบาตรรัสเซียด้วยการห้ามกองเรือรัสเซียเข้าเทียบท่าเรือในอียูนั้น จะทำให้ต้นทุนขนส่งสินค้าแพงขึ้น ทำให้ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น และอาจเกิดภาวะการขาดแคลนวัตถุดิบและสินค้าบางประเภท ซึ่งอาจเป็นผลบวกทางอ้อมต่อสินค้าส่งออกจากประเทศไทยที่สามารถนำเข้าทดแทนได้