บลจ.กสิกรไทย ชี้กองทุนหุ้นรักษ์โลก ราคาปรับตัวลง-ทยอยสะสม
"บลจ.กสิกรไทย" ชี้เทรนด์ โกกรีน น่าสนใจลงทุนในระยะยาว ขณะที่ ปี 64 พบเงินลงทุนทั่วโลกไหลเข้ากองทุนสีเขียว จำนวนมาก ดัน “เอยูเอ็ม” เฉียดแสนล้านดอลลาร์ พร้อมดันผลตอบแทน 2 กองทุนหุ้นรักษ์โลก K-CHANGE และ K-CLIMATE สร้างผลตอบแทนระดับสองหลักต่อเนื่อง
นายนาวิน อินทรสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุนต่างประเทศ บลจ. กสิกรไทย เปิดเผยว่า เรื่อง Green (รักษ์โลก) เป็นหนึ่งในธีมการลงทุนที่อยู่ในความสนใจในปัจจุบันและมีแนวโน้มต่อเนื่องไปยังในอนาคต
ประเทศขนาดใหญ่มีเป้าหมายการลดคาร์บอนที่ชัดเจน และจะทำให้สำเร็จภายในเวลา 30 ปีข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ ยุโรป และจีน รวมถึงซาอุดิอาระเบีย ผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลกก็ประกาศว่าจะ Go Green ในอนาคต ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มด้านธุรกิจพลังงานในระยะยาว
ขณะเดียวกันในปี 2564 พบว่าทั่วโลกมีเม็ดเงินไหลเข้ากองทุนกลุ่ม Ecology Fund (กองทุนคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม) กว่า 47,000 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ขนาดสินทรัพย์เพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ 99,000 ล้านดอลลาร์ ณ สิ้นปี 2564 เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปี 2560 มีขนาดสินทรัพย์ไม่ถึง 10,000 ล้านดอลลาร์ และยังเทรนด์ที่ภาคธุรกิจและนักลงทุนทั่วโลกต่างจับตามองและให้ความสำคัญอย่างมากในปัจจุบัน
ทางด้านผลตอบแทนการลงทุนดังกล่าวยังเติบโตต่อเนื่อง จากรายงานที่ศึกษาผลประกอบการของธุรกิจในระยะยาว พบว่า มีโอกาสถึง 76% ที่จะพบว่าบริษัทที่หันมาใส่ใจและลงทุนในประเด็นเกี่ยวกับ ESG จะมีผลประกอบการทางด้านการเงินที่สูงกว่าในระยะยาว
สอดรับกับผลตอบแทนที่ผ่านมา กองทุนในหุ้นกลุ่ม ESG หรือหุ้นกลุ่มยั่งยืนและหุ้นรักษ์โลกของบลจ. กสิกรไทย ทั้งกองทุน K-CHANGE และ K-CLIMATE มีผลการดำเนินงานย้อนหลังเฉลี่ยต่อปี 2 หลักและคาดว่าในอนาคตยังคงเติบโตต่อเนื่องในระดับเดียวกัน
สะท้อนจากเม็ดเงินลงทุนที่กำลังไหลเข้ามาในการลงทุนรูปแบบนี้ที่เป็น เมกะเทรนด์ระดับโลกในระยะยาว
นายนาวิน กล่าวว่า แม้ตลาดการลงทุนจะมีความผันผวนมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมานี้ ทำให้นักลงทุนเลือกที่จะขายหุ้นกลุ่มนี้ออกมาก่อนเพื่อทำกำไร ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวลงและผลการดำเนินงานของกองทุนในช่วงที่ผ่านมาต่ำกว่าดัชนีชี้วัด
ผู้จัดการกองทุนหลัก ยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพของหุ้นทุกตัวในพอร์ตและไม่มีการปรับสัดส่วนใดๆ พร้อมให้ความเห็นว่า ความผันผวนดังกล่าวไม่มีผลต่อการดำเนินงานของกองทุนในระยะยาว เนื่องจากบริษัทที่เลือกลงทุนล้วนมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และสามารถปรับตัวได้ตามภาวะเศรษฐกิจ
แนะนำว่า กองทุน K-CHANGE และ K-CLIMATE ยังสามารถถือต่อไปได้ โดยมูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) ในระยะสั้นอาจปรับตัวลง และจะค่อยๆ ปรับตัวขึ้นได้ในระยะถัดไป
สำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง สามารถหาจังหวะทยอยเข้าลงทุนเพิ่มได้ในช่วงที่ NAV ปรับตัวลงเช่นนี้ เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว จากกก่อนหน้านี้ ราคาหุ้นในกลุ่มนี้ไม่ได้ถูกมากนัก