SCB CIO คาด ‘เฟด’ จ่อขึ้นดอกเบี้ยเร็ว - แรง
SCB CIO ประเมินเฟดส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยเร็ว และแรงขึ้นอีกเพื่อจัดการเงินเฟ้อ คาดว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ต่อครั้ง ในการประชุม 2 ครั้งข้างหน้า สู่ 2.25%
ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ Team Head of SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า รายงานการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐที่มีหน้าที่กำหนดควบคุมดูแลเรื่องอัตราดอกเบี้ย ( Federal Open market Committee : FOMC ) เมื่อเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา ส่งสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยเร็ว และแรงขึ้น
รวมถึงการเริ่มนโยบายดึงสภาพออกจากระบบด้วยการปล่อยให้พันธบัตรที่ซื้อมาครบอายุ (Quantitative Tightening : QT )ในไตรมาส 2 นี้ เพื่อจัดการเงินเฟ้อ SCB CIO ยังคงมุมมองว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ย 50 bps ในการประชุมเดือนพฤษภาคม และมิถุนายน และคาดว่าในอีก 4 การประชุมที่เหลือของปีนี้ เฟด จะขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องครั้งละ 25 bps ซึ่งการขึ้นดอกเบี้ยเร็ว และแรงของเฟด ส่งผลให้ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ยังคงมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูง และจะกดดันให้ธนาคารกลางอื่นๆ โดยเฉพาะธนาคารกลางยุโรป ( ECB ) ต้องเร่งส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย โดยคาดว่า ECB จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย (depository rate) 50 bps ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เพื่อจัดการเงินเฟ้อ และชะลอการอ่อนค่าของค่าเงินยูโรเมื่อเทียบกับ US dollar
ทั้งนี้ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ขยับขึ้นเร็วทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นเร่งตัวขึ้น และมีบางช่วงสูงกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาว ทำให้ตลาดกังวลภาวะที่เรียกว่า inverted yield curve ซึ่งเป็นหนึ่งในสัญญาณที่ตลาดการเงินโลกให้ความสำคัญในการพยากรณ์ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ( recession )
โดยเฉพาะในสหรัฐ จากสถิติในอดีตชี้ว่า การเกิด inverted yield curve ที่อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรอายุ 2 ปี สูงกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ไม่ได้ตามมาด้วย recession ทุกครั้ง และในกรณีที่เกิดจะใช้ระยะเวลาเฉลี่ยถึง 16 เดือนจึงจะเกิดภาวะ recession ในสหรัฐ อย่างไรก็ตาม inverted yield curve ส่งผลต่อการทำกำไรของธุรกิจภาคการเงิน และธนาคาร ซึ่งหากภาคธุรกิจนี้ชะลอการปล่อยสินเชื่อ ก็มีโอกาสจะทำให้เศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัวลง
SCB CIO ได้วิเคราะห์ผลตอบแทนสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ในช่วงที่ตลาดกังวล inverted yield curve ในสหรัฐ และพบว่า พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ได้รับผลกระทบเชิงลบจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เร่งตัวขึ้น
โดยเฉพาะพันธบัตรระยะสั้น จะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรในประเทศพัฒนาแล้ว และประเทศกำลังพัฒนา มีโอกาสเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ส่วนตลาดหุ้นสหรัฐ ยังคงให้ผลตอบแทนที่เป็นบวก และใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 11 เดือน S&P500 ถึงจะเข้าสู่จุดสูงสุด
โดย 6 เดือนหลังจากเกิด inverted yield curve ดัชนี Russell 1000 บ่งชี้ว่า หุ้นในกลุ่ม growth ให้ผลตอบแทนสูงกว่ากลุ่ม value เล็กน้อย ส่วนของกลุ่มอุตสาหกรรมใน S&P500 พบว่า กลุ่ม Utilities, Financials, Industrials, Healthcare และ Technology ให้ผลตอบแทนได้ดีกว่ากลุ่มอื่นๆ
ดร.กำพล กล่าวต่อไปว่า กลยุทธ์การจัดพอร์ตการลงทุนในช่วงนี้ การจัดสรรการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ (Asset allocation) มีความสำคัญมากขึ้นเพื่อกระจายความเสี่ยง ในภาวะที่ตลาดมีความผันผวนจากการปรับนโยบาย และความไม่แน่นอนสูงจากความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์
SCB CIO ยังคงแนะนำให้มีเงินสดหรือสินทรัพย์สภาพคล่อง (Neutral) ในพอร์ตโฟลิโอ ส่วนมุมมองการลงทุนในแต่ละสินทรัพย์ ด้วยแนวโน้มการเปิดเมืองและเปิดประเทศที่ชัดเจนของไทย และสิงคโปร์ รวมถึง Valuation ที่ยังไม่ตึงตัวเกินไป SCB CIO ได้ปรับมุมมอง Asian REITs เป็น Positive และยังคงมุมมอง Neutral
สำหรับหุ้นในกลุ่ม DMs เนื่องจากตลาดมีแนวโน้มผันผวนสูงในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้าจากสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยเร็ว และแรงในสหรัฐ
รวมถึงความไม่แน่นอนจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจยุโรป สำหรับตลาด EMs เราคงมุมมอง Positive ต่อตลาดหุ้นเวียดนาม จากการฟื้นตัวแข็งแกร่งของเศรษฐกิจในไตรมาส 1/2022 และ valuation ที่ยังน่าสนใจ
ในขณะที่มีมุมมอง slightly positive ต่อหุ้นไทย จาก valuation ที่เริ่มกลับมาตึงตัว
พิสูจน์อักษร โดย....สุรีย์ ศิลาวงษ์