ภารกิจฟื้นแฟชั่น ลักชัวรีไลฟ์สไตล์ ‘ดีเคเอสเอช’ ดึง 2 แบรนด์ใหม่ เขย่าตลาด
ตลาดแฟชั่นเดนิมหมื่นล้านระอุ! อีกครั้ง เมื่อ "ดีเคเอสเอช" ดึง 2 แบรนด์ใหม่ “Lee Cooper®” และ “Mossimo®” รุกตลาด ย้ำเป็นยุทธศาสตร์ระยะยาว เพื่อต่อจิ๊กซอว์การเติบโตและก้าวสู่การเป็น "ผู้นำ"
"ดีเคเอสเอช”(DKSH) หนึ่งในยักษ์ใหญ่ธุรกิจที่ทำตลาดเมืองไทยอย่างยาวนาน จัดจำหน่ายสินค้าและบริการแบรนด์ดังจำนวนมาก ครอบคลุมสินค้าอุปโภคบริโภค(FMCG) เสื้อผ้าแฟชั่น ลักชัวรีไลฟ์สไตล์ มีแบรนด์ในพอร์ตโฟลิโอ ไม่ว่าจะเป็น มงต์บลองค์( Montblanc)แบรนด์จากเยอรมัน มีสินค้าดังทั้งปากกา นาฬิกา เครื่องหนัง แว่นตา ฯ แบลลีย์(Bally)แบรนด์เครื่องหนังหรูสัญชาติสวิส เบลล์รอย( Bellroy) แบรนด์เครื่องหนังสไตล์มินิมอลลิสจากออสเตรเลีย และลามี่( Lamy)เครื่องเขียนดีไซน์เอกลักษณ์คุณภาพผลิตจากประเทศเยอรมัน เป็นต้น
กลุ่มธุรกิจสินค้าแฟชั่น ลักชัวรีไลฟ์สไตล์ แม่ทัพ “ปีเตอร์ ฮอร์นบี” รองประธานกรรมการการค้าปลีก บริษัท DKSH (ประเทศไทย) จำกัด รับบทขับเคลื่อนสร้างการเติบโต ซึ่งตลอดเส้นทาง 7-8 ปีที่ผ่านมา ผลการดำเนินงานสอดคล้องกับสถานการณ์ตลาดสินค้าแฟชั่นในไทยที่มีศักยภาพ และขยายตัวต่อเนื่อง
ทว่า เกือบ 3 ปีที่โรคโควิด-19 ระบาด เป็น “วิกฤติ” ใหญ่ กระเทือนทุกอุตสาหกรรม รวมถึงสินค้าแฟชั่น ลักชัวรีไลฟ์สไตล์ด้วย แน่นอนว่า "ดีเคเอสเอช” เลี่ยงผลกระทบไม่พ้น เพราะห้างค้าปลีก ซึ่งเป็นหนึ่งในช่องทางจำหน่ายหลักถูก “ล็อกดาวน์” นักท่องเที่ยวที่เคยมาเยือนไทย 40 ล้านคน และเป็นชาวจีน 11 ล้านคน ล้วนเป็นอำนาจซื้อสำคัญ ต้องหายวับไป ล้วนเป็นตัวแปรต่อยอดขาย
ท่ามกลางปัจจัยลบบริษัทพลิกกระบวนท่าหลายด้าน ฟากโรงงานปรับไลน์การผลิตสินค้าหน้ากากตอบโจทย์ความต้องการของบุคลากร และผู้บริโภคในช่วงที่เกิดภาวะขาดแคลน ช่องทางจำหน่ายถูกปิด หันไปรุกออนไลน์ เสริมทัพให้การค้าขายแบบ “ออมนิชาแนล” แกร่งและตอบสนองกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น
“ช่วง 7 ปีแรกที่เคลื่อนธุรกิจในไทย ตอนนั้นตลาดสินค้าแฟชั่น ลักชัวรีไลฟ์สไตล์ในแต่ละปีมีการเติบโตอย่างมาก เช่นเดียวกับธุรกิจของดีเคเอสเอช การที่เราดำเนินตามกลยุทธ์ผลักดันการเติบโตอย่างเคร่งครัด ทำให้เราสร้างโอกาสขยายตลาดไปยังประเทศเมียนมา และกัมพูชาด้วย”
ขณะที่ปี 2565 วิกฤติโรคระบาดยังไม่จางหาย ซ้ำร้ายยังมี “สงครามรัสเซีย-ยูเครน” เป็นใหญ่สะเทือนโลก รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน อยู่บ้านมากขึ้น ทำงานที่บ้าน ส่งผลต่อการซื้อเสื้อผ้าแฟชั่นไม่น้อย แต่งตัวสบายๆแทน นอกจากนี้ การชอปปิงที่เคยไปหน้าร้าน เปลี่ยนไปเป็นชอปด้วยปลายนิ้วผ่านออนไลน์ อีคอมเมิร์ซ
สารพัดโจทย์ยาก แต่บริษัทยังเดินตามแผนยุทธศาสตร์ระยะยาวเพื่อสร้างการเติบโตให้ได้ โดยปี 2565 ขอท้าทายตัวเองและตลาดด้วยการเปิดตัว 2 แบรนด์ดังระดับโลกอย่าง “Lee Cooper®” หวนคืนตลาดไทยอีกครั้ง เพื่อสู้ศึกสังเวียนตลาดเดนิม และ “Mossimo®” รุกตลาดเสื้อผ้าแนวสตรีท
“การเลือกทำตลาดสินค้าใหม่ทั้ง 2 แบรนด์ เรามองกลยุทธ์สร้างการเติบโตระยะยาว ประกอบกับความเชื่อมั่นว่าตลาดสินค้าแฟชั่นเดนิมในประเทศไทยยังมีความแข็งแกร่ง มีศักยภาพต่อเนื่อง ยิ่งกว่านั้นหากข้อจำกัดทั้งโรคระบาดที่จะกลายเป็นโรคประจำถิ่นช่วงกลางปี เศรษฐกิจฟื้นตัว นักท่องเที่ยวกลับมา คนไทยเดินทางและออกมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น จะเห็นการเติบโตของตลาดเป็น V-Shape เพราะอั้นการใช้จ่ายมานาน”
ส่วนกลยุทธ์การทำตลาดแบรนด์ “Lee Cooper®” จะชูจุดแข็งแบรนด์โลกและระดับตำนาน รวมถึงคุณภาพสินค้า ตลอดจนความเข้าใจและตอบสนองต่อความต้องการตลาดอย่างรวดเร็ว(Speed to Market)ของทีมงานดีเคเอสเอช การจัดอีเวนท์ออนไลน์สร้างสีสันพร้อมเปิดให้ช้อปสินค้าจากรันเวย์ได้ทันที อาวุธตลาดเหล่านี้ จะทำให้แบรนด์กลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง
ขณะที่แบรนด์ “Mossimo®” แนวสตรีทแฟชั่น จะดึงอินฟลูเอนเซอร์หลากไลฟ์สไตล์มาช่วยเป็นกระบอกเสียงสร้างแบรนด์ พร้อมจัดอีเวนท์ออนกราวด์ปลุกตลาด ฯ การเปิดเกมรุกใหญ่ บริษัทจะเปิดร้านจำหน่ายสินค้าออฟไลน์ผ่านห้างค้าปลีกต่างๆ และออนไลน์รวม 100 จุด เช่น แบรนด์ “Mossimo®” การเปิดแฟล็กชิพสโตร์ขนาด 120 ตารางเมตร(ตร.ม.) ที่ศูนย์การค้าเมกา บางนา เป็นต้น
“เปิดร้าน 100 สาขา เป็นเป้าหมายแรกที่ตั้งไว้ก่อน หากเศรษฐกิจฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ภายในปีนี้อาจพิจารณาเปิดให้มากกว่า 100 สาขา”
นอกจากนี้ ยังรุกต่อเนื่องช่องทางออนไลน์ เพื่อผลักดันสัดส่วนการขายของสินค้าแฟชั่น ลักชัวรีไลฟ์สไตล์ให้แตะ10% ในช่วง 4 ปีแรก จากนั้นจะเพิ่มสัดส่วนเป็น 20% จากปัจจุบันอยู่ที่ 5% ขณะที่การทำตลาด Lee Cooper® และ Mossimo® ต้องการผลักดันให้เกาะกลุ่ม “ผู้นำ” ของแต่ละหมวดสินค้า
สำหรับภาพรวมตลาดแฟชั่นเดนิมมีมูลค่าราว 10,000-12,000 ล้านบาท ช่วง 2 ปีมีการหดตัวลง
“บริษัทให้ความสำคัญกับตลาดในประเทศไทยมาตลอด เพราะดีเคเอสเอชประเทศไทยเป็นหนึ่งในตลาดที่ใหญ่ที่สุด”