3 ธีมลงทุนปี 2025 รับกระแส Trump 2.0
สินทรัพย์ที่น่าลงทุนในปี 2025 ที่ชัดเจนจากนโยบาย Trump 2.0 คือ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเน้นกลุ่มที่มีรายได้ภายในประเทศเป็นหลัก
ในปี 2025 อาจเป็นปีที่พลิกแนวทางลงทุนไปจากปีที่ผ่านมา เนื่องจากสหรัฐฯ ได้ โดนัลด์ ทรัมป์ เข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้ง หรือ Trump 2.0 กับนโยบายที่ยกระดับแนวคิด America first ด้วยการลดภาษีนิติบุคคลเพิ่มเติมจากเดิม 21% เป็น 15% และมีแผนที่จะขึ้นภาษีนำเข้า (Tariff) กับสินค้าทุกชนิดเพิ่มเติมกับจีนสูงสุด 60% และประเทศอื่นทั่วโลกสูงสุดอีก 10% นั่นอาจทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศที่พึ่งพาการส่งออกสินค้ามายังประเทศสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบ รวมถึงอาจส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นจากการขึ้น Tariff ด้วย
อย่างไรก็ดีนักวิเคราะห์ทั่วโลกยังประเมินว่าแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายทั่วโลกเป็นทิศทางขาลงเพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงแบบ Soft-landing ซึ่งปัจจัยเหล่านี้สามารถแบ่งเป็นธีมการลงทุนได้ 3 อย่าง คือ America first, Domestic-oriented country และ Rate-cut cycle
1. ธีม America first บริษัทจดทะเบียนของสหรัฐฯ จะได้ประโยชน์สูงสุดจากการลดภาษีนิติบุคคลที่จะช่วยให้มีอัตรากำไรสูงขึ้นทันทีเพราะรายจ่ายภาษีลดลง โดย Bank of America ประเมินว่ากำไรต่อหุ้นของดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้นราว +4% หากอัตราภาษีนิติบุคคลลดลงจาก 21% เป็น 15% และหากพิจารณาเป็นกลุ่มอุตสาหกรรม กลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากนโยบายทางภาษีสูงสุดคือ กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย (Consumer Discretionary) 7%, กลุ่มบริการด้านการสื่อสาร (Communication services) และหุ้นกลุ่มสถาบันการเงิน (Financials) ที่ราว 5% ใกล้เคียงกัน
ส่วนของการยกระดับมาตรการขึ้น Tariff เพิ่มเติมของสหรัฐฯ อาจช่วยให้มูลค่าของบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ สูงขึ้นตลอดเวลาที่มาตรการบังคับใช้ เนื่องจากราคาสินค้านำเข้าสูงขึ้นอาจเป็นประโยชน์แก่บริษัทที่ผลิตและขายสินค้าในสหรัฐฯ ที่รายได้และกำไรสูงขึ้นจากโอกาสเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดภายในประเทศได้ แต่อาจทำให้เกิดมาตรการตอบโต้กลับทางการค้า
โดยจากข้อมูลจาก Factset ระบุว่ากลุ่มธุรกิจสาธารณูปโภค (Utilities), กลุ่มอสังหาฯ (Real estates) และกลุ่มสถาบันการเงิน (Financials) น่าจะได้รับผลกระทบจากประเด็นนี้จำกัด เพราะมีสัดส่วนรายได้ในประเทศถึง 99%, 82% และ 72% ตามลำดับ
2. ธีม Domestic-oriented country หากพิจารณาตลาดหุ้นอื่นนอกเหนือจากสหรัฐฯ ประเทศที่คาดว่าจะเกิดผลกระทบต่อการขึ้น Tariff ทั่วโลก 10% อย่างจำกัด คือ ประเทศอินเดีย, ญี่ปุ่น และเวียดนาม โดยพิจารณาจากประเทศที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับสัดส่วนการบริโภคภายในประเทศ โดยสหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับอินเดีย, ญี่ปุ่นและเวียดนามประมาณประเทศละ 1% ของ GDP สหรัฐฯ เทียบกับจีนและเม็กซิโกที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าราว 3% ขณะที่เศรษฐกิจทั้ง 3 ประเทศยังขับเคลื่อนด้วยการบริโภคในประเทศเป็นหลักโดยมีการใช้จ่ายภาคครัวเรือนต่อ GDP ในปี 2022 ที่ราว 61%, 56% และ 55% ซึ่งเกินกว่า 50% และสูงกว่าจีนที่มีเพียง 37% เท่านั้น
3. ธีม Rate-cut cycle แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลงยังเป็นประเด็นสำคัญสำหรับการลงทุนปี 2025 แม้ว่านโยบายการขึ้น Tariff อาจทำให้เงินเฟ้อปรับเพิ่มขึ้นในช่วงระยะเวลาที่มาตรการยังบังคับใช้ โดย TISCO Economic Strategy Unit (TISCOESU) คาดว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) 10 ปี ราว 4.5% ได้สะท้อนปัจจัยการขึ้น Tariff เต็มรูปแบบไปแล้ว อีกทั้ง TISCOESU ยังประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่ำสุดของสหรัฐฯ (Terminal Fed fund rate) จะอยู่ที่ 4%
ขณะที่ปัจจุบันที่ดอกเบี้ยนโยบาย 4.5-4.75% จึงมีโอกาสที่ Fed จะลดดอกเบี้ยอีกราว 75 bps เพื่อช่วยลดความตึงตัวของภาคการเงินและประคองเศรษฐกิจในภาวะ Soft-landing และประเทศอื่น ๆ ก็ยังมีทิศทางดอกเบี้ยเป็นขาลงเพื่อปรับให้ส่วนต่างของดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อเข้าสู่จุดสมดุลมากขึ้นเช่นกัน ดังนั้น ปี 2025 สินทรัพย์ที่มูลค่าจะเพิ่มขึ้นในภาวะดอกเบี้ยขาลงอย่าง Global REITs หรือ Global Bond ยังมีโอกาสสร้างกำไรจากการลงทุนได้ แต่ในส่วนของ Global Bond อาจเน้นอายุของตราสาร (Duration) ที่ลงทุนประมาณ 3 ปี เพื่อให้ยังได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลงและลดความเสี่ยงที่ดอกเบี้ยระยะยาวลดลงช้าจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นได้
โดยสรุปแล้ว สินทรัพย์ที่น่าลงทุนในปี 2025 ที่ชัดเจนจากนโยบาย Trump 2.0 คือ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเน้นกลุ่มที่มีรายได้ภายในประเทศเป็นหลัก เช่น กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย, กลุ่มบริการด้านการสื่อสารและกลุ่มการเงิน หรือประเทศอื่นที่รอดพ้นจากสงครามการค้าด้วยการพึ่งพาการบริโภคในประเทศเป็นหลัก เช่น อินเดีย, ญี่ปุ่น หรือเวียดนาม นอกจากนี้ยังคงแนะนำ Global REITs และ Global Bond ที่มี Duration ประมาณ 3 ปี ซึ่งยังได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลงทั่วโลกก็น่าจะเป็นเหล่าสินทรัพย์ที่สร้างกำไรในปี 2025 ได้จากสถานการณ์ลงทุนที่จะเปลี่ยนไปต่อจากนี้
หากท่านใดมีข้อข้องใจเกี่ยวกับการวางแผนการเงินของตนเอง สามารถส่งคำถามของท่านมาได้ที่ [email protected] I บทความโดย ศิวกร ทองหล่อ CFP® Wealth Manager