‘ไทยเบฟ’ จัดทัพผู้นำใหม่ ได้เวลารุ่นเก๋าส่งไม้ต่อ ผู้สืบทอดธุรกิจแสนล้าน!

เป็นอีกครั้งที่ยักษ์ใหญ่เครื่องดื่มเอเชีย “ไทยเบฟเวอเรจ” ได้เขย่าโครงสร้างบรรดา “แม่ทัพ-ขุนพล” เพื่อขับเคลื่อนอาณาจักร “แสนล้านบาท” รองรับการเปลี่ยนแปลง และการเติบโตในอนาคต
ทั้งนี้ โครงสร้างการบริหารล่าสุด เลือดใหม่ทำหน้าที่เป็น ผู้สืบทอดหรือ Successor อย่างเต็มรูปแบบ ดังนี้
1.ปรับตำแหน่งของนายฐาปน สิริวัฒนภักดี จากกรรมการและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (Director and President & CEO) เป็นกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (Director and Group CEO)
2.แต่งตั้งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่และผู้บริหารสูงสุดปฏิบัติการ (President & Group COO) 2 ท่าน ซึ่งจะรายงานตรงต่อประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
- ฐาปน คุมหมด!
สำหรับ ฐาปน สิริวัฒนภักดี เป็นแม่ทัพธุรกิจอยู่แล้ว และยังมีศักดิ์เป็นทายาทมหาเศรษฐีและราชันย์น้ำเมา “เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี” จากที่นั่งเป็นกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด(มหาชน) ขยับเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มไทยเบฟ หรือ Group CEO of Thaibev ซึ่งหากดูตามผังเรียกว่าดูแลกิจการทั้งหมดเต็มที่
ขณะที่ขุนพลข้างกาย อย่าง “โฆษิต สุขสิงห์” ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่(President) และผู้บริหารสูงสุดปฏิบัติการประเทศไทยหรือ Group COO-Thailand รับบทดูแลธุรกิจในประเทศไทยเต็มตัว จากก่อนหน้านี้ ปี 2565 ไทยเบฟปรับโครงสร้างใหญ่ไปแล้ว และ “โฆษิต” นั่งเก้าอี้รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์หรือ Non-Alcohol Beverage:NAB และผู้บริหารสูงสุด กลุ่มงานดิจิทัล และเทคโนโลยี
อีกขุนพลคือ “ขุนคลัง” ขององค์กรแสนล้านอย่าง “ประภากร ทองเทพไพโรจน์” ก้าวสู่ตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่และผู้บริหารสูงสุดปฏิบัติการต่างประเทศหรือ Group COO-International ดูแลการบริหารงานนอกประเทศไทยหรือต่างประเทศนั่นเอง ซึ่งรวมถึง “การลงทุน” การดำเนินธุรกิจในฐานทัพตลาดหลักของไทยเบฟทั้งประเทศเวียดนาม เมียนมาร์ สิงคโปร์ และมาเลเซีย
อย่างไรก็ตาม ปี 2565 ที่ปรับโครงสร้างไปครั้งหนึ่งแล้ว “ประภากร” ได้นั่งเก้าอี้รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจสุรา และดูแลการเงิน การลงทุนของไทยเบฟ
- 2 ขุนพล ผลงานโดดเด่นเป็นบทพิสูจน์
3.โครงสร้างใหม่ "ฐาปน" จะนั่งเป็นรองประธานกรรมการ พร้อมกับ “คนรุ่นเก๋า” และขุนพลข้างกายของพ่อ “เจ้าสัวเจริญ” ไปนั่งตำแหน่งดังกล่าว หรือ “รองประธานกรรมการบริหาร” ของบริษัท ได้แก่ อวยชัย ตันฑโอภาส สิทธิชัย ชัยเกรียงไกร และ ดร.พิษณุ วิเชียรสรรค์ จากปี 2565 ถูกปรับไปนั่งเป็น “กรรมการรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่อาวุโส”
ที่ผ่านมา 3 นักบริหารมือฉมัง มีบทบาทแตกต่างกันไป โดย “อวยชัย” คุมทัพธุรกิจสุราในประเทศ ธุรกิจที่เป็น “กล่องดวงใจ” ของเจ้าสัวเจริญ เพราะทำ “กำไรสูงสุดตลอดกาล” ด้าน “เกรียงไกร” กุมบังเหียนการเงินกว่า 19 ปี และ “ดร.พิษณุ” ผู้อยู่เบื้องหลังการสร้างโรงงานต่างๆ โดยเฉพาะ “บุกเบิกสร้างโรงงานเบียร์”
อย่างไรก็ตาม การวางแผนส่งไม้ต่อให้ผู้สืบทอดธุรกิจหรือ Successor ของไทยเบฟ เริ่มมาระยะหนึ่งแล้ว โดย “ประภากร” ถือว่าเข้ามาสานต่อการเงินจาก “เกรียงไกร”
สำหรับประภากร เข้าร่วมงานกับไทยเบฟราว 10 ปี จากก่อนหน้านี้ทำงานภายใต้อาณาจักร “ไทยเจริญคอร์ปอเรชั่น” หรือทีซีซี กรุ๊ปด้วย ซึ่งการก้าวสู่ตำแหน่งแม่ทัพคุมการบริหารต่างประเทศ เพราะพิสูจน์แล้วว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาสามารถสร้างผลงานโดดเด่นให้กับบริษัท
ขณะที่ “โฆษิต” รับไม้ต่อจาก “อวยชัย” คือดูแลการขับเคลื่อนธุรกิจในประเทศ และด้านเทคโนโลยีต่างๆสืบทอดต่อจาก “ดร.พิษณุ”
ทั้งนี้ จากรายละเอียดข้างต้น รายชื่อคณะกรรมการบริหารชุดใหม่จะประกอบด้วย
1.นายเจริญ สิริวัฒนภักดี ประธานกรรมการบริหาร
2.นายฐาปน สิริวัฒนภักดี รองประธานกรรมการบริหารคนที่ 1
3.นางสาวกนกนาฏ รังษีเทียนไชย รองประธานกรรมการบริหารคนที่ 2
4.นายอวยชัย ตันทโอภาส รองประธานกรรมการบริหารคนที่ 3
5.นายสิทธิชัย ชัยเกรียงไกร รองประธานกรรมการบริหารคนที่ 4
6.ดร. พิษณุ วิเชียรสรรค์ รองประธานกรรมการบริหารคนที่ 5
7.นายโก๊ะ โป๊ะ เตียง
8.นายโฆษิต สุขสิงห์
9.นายประภากร ทองเทพไพโรจน์
10.นายไมเคิล ไชน์ ฮิน ฟา
11.นางต้องใจ ธนะชานันท์
12.นายเอ็ดมอนด์ นีโอ คิม ซูน
13.ดร. เอกพล ณ สงขลา
14.นางนันทิกา นิลวรสกุล
15.นางนงนุช บูรณะเศรษฐกุล
- ปรับทัพใหม่ย้ำยักษ์ใหญ่เครื่องดื่ม-อาหารอาเซียน
อย่างไรก็ตาม การปรับโครงสร้างและแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงครั้งนี้มีเป้าหมายดังนี้
1.เพื่อพัฒนากลุ่มบริษัทไทยเบฟสู่ความเป็นสถาบัน และสร้างโอกาสให้แก่ผู้บริหารมืออาชีพเพื่อสนับสนุนการเติบโตขององค์กรอย่างมั่นคงและยั่งยืน
2.ต่อยอดความแข็งแกร่งในการบริหารงานในประเทศไทย ซึ่งได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2562 และปรับโครงสร้างเพื่อตอบรับสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปหลังวิกฤตการณ์โควิด-19
3.เสริมสร้างการผสานพลังและประสิทธิภาพการดำเนินงานในตลาดหลัก ทั้งไทย เวียดนาม เมียนมา มาเลเซีย และสิงคโปร์ ควบคู่ไปกับโครงสร้างแบบกลุ่มธุรกิจ (Product Group) เพื่อเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขัน ด้วยการเสริมความแข็งแกร่งในการบริหารห่วงโซ่การผลิตหรือซัพพลายเชน การบริหารช่องทางการจัดจำหน่ายและการจัดการโลจิสติกส์ รวมทั้งนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงาน
4.ขับเคลื่อนการพัฒนาธุรกิจและการลงทุนในตลาดใหม่ เพื่อขยายการเติบโตของตราสินค้าต่าง ๆ ของบริษัทในระดับภูมิภาค สู่เป้าหมายการเป็นผู้นำของอาเซียน(ASEAN)ในธุรกิจเครื่องดื่มและอาหาร
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างดังกล่าว จะมีผล 27 มิถุนายน 2567 ที่สำคัญทุกอย่างยังอยู่ภายใต้การกุมบังเหียนของ “เจ้าสัวเจริญ” ประธานกรรมการ และประธานกรรมการบริหาร ไทยเบฟดังเดิม