'AWC' เร่งโต! ยึดไพรม์โลเกชั่น โหมเปิดโรงแรม-รีเทล-โฮลเซล 18 โครงการปี 67

บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC บิ๊กอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีมูลค่าพอร์ตทรัพย์สินทั้งหมด ณ สิ้นปี 2566 อยู่ที่ 146,799 ล้านบาท โดยคิดเป็นมูลค่าทรัพย์สินดำเนินงานอยู่ที่ 108,202 ล้านบาท ภายใต้การนำทัพของ “วัลลภา ไตรโสรัส” ทายาทเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี เตรียมแผนสร้างการเติบโตแก่ธุรกิจของ AWC ในปี 2567 คิดเป็นมูลค่ากว่า 36,000 ล้านบาท ลุยเปิดโรงแรม บริการ ค้าปลีก ค้าส่ง และเดสติเนชันแห่งใหม่ ในเมืองท่องเที่ยวหลักของประเทศไทย

วัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ แห่ง AWC เล่าว่า ในปี 2567 บริษัทจะมีการเสริมศักยภาพและเปิดให้บริการโครงการในทุกกลุ่มธุรกิจรวมกว่า 18 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวม 19,000 ล้านบาท โดยมีโครงการสำคัญของกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ อาทิ โรงแรม “แฟร์มอนท์ แบงคอก สุขุมวิท” ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 20 มีจำนวนห้องพักประมาณ 419 ห้อง อยู่ภายใต้การบริหารของเครือแอคคอร์ (Accor)

หลังจาก AWC เข้าซื้อโรงแรม แกรนด์ เมอร์เคียว แบงค็อก วินด์เซอร์ เมื่อปลายปี 2565 มูลค่า 3,184 ล้านบาท และรีแบรนด์ใหม่ ถือเป็นโรงแรมแบรนด์ “แฟร์มอนท์” (Fairmont) แห่งแรกในไทย โดยเตรียมเปิดให้บริการปลายปีนี้ มีมูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท ตั้งเป้าพัฒนาเป็นโรงแรมไมซ์ (MICE : การประชุม เดินทางเพื่อเป็นรางวัล สัมมนา และแสดงสินค้า) ระดับลักชัวรีให้กับกรุงเทพฯ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในไฮไลต์การเดินทางจากทั่วโลก

 

ผนึกเชน “มีเลีย-แมริออท” เปิด 2 โรงแรมใหม่ “พัทยา”

โรงแรม “มีเลีย พัทยา ซิตี้” วางกําหนดเปิดให้บริการเดือน ธ.ค. 2567 ตั้งอยู่ใจกลางเมืองพัทยา ภายในโรงแรมจะประกอบด้วยห้องอาหารและบาร์อันเป็นเอกลักษณ์ พื้นที่ศิลปะสร้างแรงบันดาลใจสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพ และพื้นที่สําหรับผู้เข้าพักและสัตว์เลี้ยง ด้วยจำนวนห้องพักรวมทั้งหมด 234 ห้อง มีเป้าหมายเพื่อดึงดูดกลุ่ม MICE และผู้ที่กําลังมองหาไลฟ์สไตล์ทันสมัย

“โรงแรม มีเลีย พัทยา ซิตี้ จะมุ่งให้ความสำคัญกับเรื่องของสุขภาพหรือ Wellbeing และยังเป็นโรงแรมที่เป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยงแห่งแรกในพัทยา ภายใต้การบริหารของเครือมีเลีย (Meliá) โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ของ AWC ภายใต้ชื่อ อควอทีค (Aquatique) มูลค่าการลงทุนกว่า 20,000 ล้านบาท ซึ่งออกแบบเพื่อมอบบริการเหนือระดับให้กับลูกค้าที่มองหาประสบการณ์การเดินทางเพื่อการพักผ่อนควบคู่กับการทํางาน มุ่งโปรโมตการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ กีฬาทางน้ำ และเอ็นเตอร์เทนเมนต์-รีเทลขนาดใหญ่”

โรงแรม “พัทยา แมริออท รีสอร์ท แอนด์ สปา แอท จอมเทียน บีช” (ไม่ได้อยู่ภายใต้โครงการอควอทีค) กำหนดเปิดให้บริการในช่วงปลายปีนี้ มุ่งนำเสนอบรรยากาศรีสอร์ทแอนด์สปาแถบหาดจอมเทียน จ.ชลบุรี เจาะนักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัวในเมืองพัทยา

นอกจากนี้ AWC เตรียมขยายเฟส 2 พื้นที่ประชุมสัมมนาขนาดใหญ่ของ โรงแรม “เชียงใหม่ แมริออท โฮเทล” ที่เพิ่งเปิดตัวเฟสแรกไปเมื่อปลายปี 2566 โดยตั้งเป้าตอบโจทย์การประชุมแบบ “Innovative MICE Facility” มีสิ่งอำนวยความสะดวกและนวัตกรรมที่พร้อมสร้าง “ความว้าว!” ให้กับตลาดการประชุมสัมมนาของประเทศไทย

รวมถึงการเปิดตัว “เดอะ เจอร์นีย์ ออฟ อะ ริเวอร์ บาย ดิ โอกุระ เพรสทีจ แบงค็อก” ที่จะมาร่วมสร้างประสบการณ์ใหม่ของการรับประทานอาหารบนเรือล่องแม่น้ำเจ้าพระยา ภายใต้คอนเซ็ปต์การออกแบบเรือสไตล์ “โอริกามิ” (Origami) หรือการพับกระดาษแบบญี่ปุ่น ซึ่งจะเชื่อมต่อประสบการณ์ท่องเที่ยวและบริการกับโครงการริมน้ำต่างๆ ของ AWC ภายใต้แนวคิด “เดอะ เจอร์นีย์ ออฟ อะ ริเวอร์” (The Journey of A River)

 

เปิด “เอ-ย่า” รูฟท็อปตึกเอ็มไพร์ มิ.ย.นี้

วัลลภา เล่าเพิ่มเติมว่า ด้านโครงการสำคัญของกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ อาทิ โครงการ “เอ-ย่า รูฟท็อป แอท ดิ เอ็มไพร์” (EA Rooftop at The Empire) ใช้งบลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท พัฒนาให้เป็นจุดหมายปลายทางด้านอาหารและเครื่องดื่มบนรูฟท็อปที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก บนอาคาร “เอ็มไพร์ ทาวเวอร์” ติดสะพานช่องนนทรี แยกสาทร-นราธิวาส เตรียมเปิดให้บริการเดือน มิ.ย.นี้ จะประกอบไปด้วย “EA Gallery” แหล่งรวมร้านอาหารนานาชาติชั้นนำมากมายกับทัศนียภาพที่ดีที่สุดของกรุงเทพฯ “EA CHEF'S TABLE” แหล่งรวมร้านอาหารโดยเชฟระดับมิชลินสตาร์จำนวน 3 แห่ง และห้องอาหาร “Nobu Bangkok” แห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย นับเป็นห้องอาหาร Nobu ที่สูงและใหญ่ที่สุดในโลก หลังจากทยอยเปิดให้บริการบางส่วนแล้ว เช่น ร้าน % Arabica ได้เข้ามาเปิดสกายคาเฟ่ที่นี่

ขณะเดียวกัน ในอาคารเอ็มไพร์ บริเวณโซน “The Residence at Empire Co-Living” ที่นำพื้นที่ โค-ลิฟวิง สเปซ (Co-Living Space) รวมกว่า 1,500 ตารางเมตร บนชั้น 53 มาปรับโฉมใหม่ นำเสนอรูปแบบการใช้ชีวิตเหมือนอยู่บ้านมาเชื่อมต่อกับการทำงาน สร้างประสบการณ์ใหม่ให้ผู้เช่าโดยไม่มีค่าใช้จ่าย โดยเตรียมเปิดให้บริการ 3 โซนย่อยในปีนี้ ได้แก่ ดิ เอ็มไพร์ เวลเนส, ดิ เอ็มไพร์ มีทติ้ง เวนู และ ดิ เอ็มไพร์ ฟู้ด เลานจ์ หนุนการยกระดับอาคารนี้ให้เป็นไลฟ์สไตล์สเปซแห่งใหม่ รองรับเทรนด์อนาคตของการผสมผสานการทำงานและการใช้ชีวิตเข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ

 

เดิมพันครั้งใหญ่ของธุรกิจ “โฮลเซล-รีเทล”

นอกจากนี้ โครงการ “เออีซี ฟู๊ด โฮเซล ประตูน้ำ” (AEC FOOD WHOLESALE PRATUNAM) หรือ “AFP” ศูนย์กลางค้าส่งอาหารระดับโลกครบวงจร มูลค่าโครงการกว่า 6,000 ล้านบาท วางโมเดลเชื่อมต่อออนไลน์และออฟไลน์ครั้งแรกของโลกภายใต้รูปแบบ “Integrated Wholesale Platform for Non-Stop Opportunity” ผ่าน “PHENIXBOX” แพลตฟอร์มค้าส่งแบบออมนิ-ชาแนล (Omni-Channel) นวัตกรรมแห่งแรกที่สร้างจุดหมายปลายทางด้านระบบนิเวศอุตสาหกรรมอาหาร จะเปิดให้บริการในวันที่ 26 มิ.ย. หลัง AWC เดินหน้าพลิกโฉมศูนย์การค้า “พันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ” เดิม ปรับใหญ่สู่คอนเซ็ปต์ใหม่ดังกล่าว

“เรามีเป้าหมายให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นจุดหมายปลายทางของการค้าส่งสินค้าและวัตถุดิบด้านอาหารระดับโลก สามารถดึงดูดผู้ซื้อ ผู้ขาย และผู้ให้บริการในอุตสาหกรรมอาหารจากทั่วโลกเข้ามายังประเทศไทย สร้างโอกาสให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ในฐานะซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) ที่สำคัญของประเทศ และขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางระบบนิเวศด้านอาหารระดับโลก”

ส่วนปลายเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ได้เปิดโครงการ “เดอะ พันธุ์ทิพย์ ไลฟ์สไตล์ ฮับ” (THE PANTIP LIFESTYLE HUB) ภายใต้แนวคิด “Every Happiness For Everyone” สร้างแลนด์มาร์กสำหรับกิจกรรมความสนุกหลากหลาย ศูนย์รวมฟู้ดเลานจ์ (Food Lounge) ในบรรยากาศธรรมชาติ และแหล่งไลฟ์สไตล์สำหรับครอบครัว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “ลานนาทีค เดสติเนชัน” ( Lannatique Destination) ตั้งอยู่ในพื้นที่ช้างคลาน ใจกลางเมืองเชียงใหม่ ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 30,000 ล้านบาท

 

เตรียมเข้าลงทุน 3 บิ๊กโปรเจกต์ มูลค่า 1.7 หมื่นล้าน

วัลลภา เล่าด้วยว่า นอกเหนือจาก 18 โครงการ มูลค่ารวม 19,000 ล้านบาทดังกล่าวที่เตรียมเปิดให้บริการในปี 2567 แล้ว ยังมีอีก 3 โครงการใหญ่ คิดเป็นมูลค่า 17,000 ล้านบาท ที่คณะกรรมการบริษัทเห็นชอบให้นำเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติ เพื่อเข้าลงทุนโครงการอสังหาริมทรัพย์คุณภาพบนพื้นที่ระดับไพรม์โลเกชันในกรุงเทพฯ และเชียงใหม่ ได้แก่

1.โครงการโอพี การ์เด้น ย่านบางรัก เพื่อเชื่อมกับโครงการแฟลกชิป โรงแรม เดอะ พลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา แบงคอก ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ส่งเสริมจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวริมสายน้ำ คาดว่าจะเปิดดำเนินการไตรมาสที่ 4 ปี 2570 

2.โครงการโรงแรมระดับลักชัวรี ในพื้นที่ถนนสุขุมวิท 38 ตรงสถานีรถไฟฟ้า BTS ทองหล่อ ซึ่งเป็นย่านไลฟ์สไตล์สุดเทรนดี้ของกรุงเทพฯ เพื่อพัฒนาโครงการโรงแรมด้านเวลเนส ใช้งบลงทุน 3,000 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดดำเนินการในไตรมาสที่ 3 ในปี 2571

และ 3. การเข้าลงทุนเพิ่มในพื้นที่ช้างคลาน ใจกลางจังหวัดเชียงใหม่ ที่จะได้รับการพัฒนาเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “ลานนาทีค เดสติเนชัน”