ทำไม ‘อาท’ เลือกไทย เปิดตัวสเปรย์กำจัดยุงนวัตกรรมใหม่ครั้งแรกในโลก

ทำไม ‘อาท’ เลือกไทย เปิดตัวสเปรย์กำจัดยุงนวัตกรรมใหม่ครั้งแรกในโลก

เอิร์ธ-คาโอ ส่งสินค้านวัตกรรมใหม่ สเปรย์กำจัดยุง เปิดตัวในไทยครั้งแรกในโลก ชี้ไข้เลือดออกไทยระบาดหนัก โลกร้อนมีผล - วางเกมทำตลาดออนไลน์ ออฟไลน์ขยายกลุ่มลูกค้า ย้ำคงราคาเดิม วางเป้าขึ้นเบอร์หนึ่งตลาดในประเทศไทยภายในปี 2568-2569

สินค้าใกล้ตัวคนไทยมายาวนานกับ "ยาจุดกันยุง" ที่มีความสำคัญในการป้องกันยุง ต้นตอหลักของโรคระบาด "ไข้เลือดออก" ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพคนไทย โดยจากการรายงานของ กรมควบคุมโรค ในปี 2566 ที่ผ่านมา คนในประเทศไทยเป็นไข้เลือดออก สูงถึง 1.60 แสนคน มีผู้เสียชีวิต 181 คน ส่วนในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2567 พบผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกแล้วกว่า 2.60 หมื่นราย เพิ่มขึ้น 1.6 เท่า และมีผู้เสียชีวิตแล้ว 31 ราย

เมื่อประเมินภาพรวมกลุ่มผลิตภัณฑ์กำจัดยุงในประเทศไทย ตลาดมีมูลค่ารวมประมาณ 2,500 ล้านบาท โดยช่วงหลังโควิดมีการขยายตัวประมาณ 2-3% มีผลิตภัณฑ์ทั้งแบบขด และแบบน้ำ ไปจนถึงแบบสเปรย์ ส่วนตลาดรวมผลิตภัณฑ์กำจัดแมลงมีมูลค่าตลาดประมาณ 5,000 ล้านบาท สำหรับการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญในปี 2567 ที่ยักษ์ใหญ่คอนซูเมอร์จากประเทศญี่ปุ่น บริษัท เอิร์ธ (ประเทศไทย) และ บริษัท คาโอ อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) ได้ร่วมมือส่งผลิตภัณฑ์ “อาท มอส ชู้ตเตอร์” สเปรย์กำจัดยุงนวัตกรรมใหม่ มาเปิดตัวในประเทศไทยครั้งแรกในโลก

“เค็นทาโร ซาโตะ” ประธาน บริษัท เอิร์ธ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บริษัทมีกลุ่มผลิตภัณฑ์หลักในประเทศไทย 3 กลุ่มได้แก่ กำจัดแมลง น้ำหอม และ น้ำยาบ้วนปาก โดยผลิตภัณฑ์กำจัดแมลง ได้มีความร่วมมือกับ คาโอ ผู้ผลิตสินค้าผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน ในการทำตลาด

แผนในปีนี้ได้ส่งผลิตภัณฑ์ใหม่ “อาท มอส ชู้ตเตอร์” สเปรย์กำจัดยุงนวัตกรรมใหม่ ได้พัฒนาจากประเทศญี่ปุ่นเข้ามาเปิดตัวในประเทศไทยครั้งแรกในโลก เนื่องจากประเทศไทยมีปัญหาเรื่องไข้เลือดออกสูงมากและเพิ่มขึ้นในทุกปี ซึ่งในปี 2566 ที่ผ่านมา จำนวนผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกมีจำนวนสูงสุด เนื่องจากผลจากภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงของอากาศ ทำให้ผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกเพิ่มสูงขึ้น ส่วนผลิตภัณฑ์ใหม่นี้ที่ไม่มีสารเคมีเป็นส่วนผสม เพื่อขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์กำจัดยุงเช็คเมนต์ใหม่ในประเทศไทย

ทำไม ‘อาท’ เลือกไทย เปิดตัวสเปรย์กำจัดยุงนวัตกรรมใหม่ครั้งแรกในโลก

  • วางเป้าขึ้นเบอร์หนึ่งในตลาดไทยปี 2568

สำหรับสเปรย์กำจัดยุงนวัตกรรมใหม่ ได้วางแผนทำตลาดทั้งออฟไลน์และออนไลน์พร้อมมีการร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์ ในการรุกตลาดในประเทศไทย โดยวางเป้าหมายว่า ภายในสิ้นปี 2567 จะสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดใน ผลิตภัณฑ์กำจัดยุงได้ประมาณ 1-2% จากปีก่อน จากในปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 17% พร้อมทำให้ในปี 2568-2569 อาท จะสามารถขึ้นเป็นผู้นำในตลาดไทยได้

ทำไม ‘อาท’ เลือกไทย เปิดตัวสเปรย์กำจัดยุงนวัตกรรมใหม่ครั้งแรกในโลก

“มาร์เก็ตแชร์ของอาทเพิ่มขึ้นจากปีก่อน มาจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าและเรื่องกลิ่นที่ตรงใจตลาดในประเทศ รวมถึงการคงราคาสินค้าไว้ในราคาเดิม ท่ามกลางแบรนด์คู่แข่งที่ปรับราคาสินค้าขึ้นมา”

 

ทำไม ‘อาท’ เลือกไทย เปิดตัวสเปรย์กำจัดยุงนวัตกรรมใหม่ครั้งแรกในโลก

ทั้งนี้ “อาท มอส ชู้ตเตอร์” สเปรย์กำจัดยุงนวัตกรรมใหม่ มีแผนจัดจำหน่ายในประเทศไทย อย่างเป็นทางการในช่วงเดือน ก.ค.นี้ 

ภาพรวมของบริษัท เอิร์ธ มีผลิตภัณฑ์กำจัดยุงกับ "อาท" โดยบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดอันดับหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น อยู่ที่ 58% ส่วนตลาดในโลกครองอันดับสาม ด้วยส่วนแบ่งการตลาดที่ 6.2% สำหรับฐานการผลิตสินค้า มีโรงงานผลิตสินค้าในเครือ อยู่ที่ประเทศไทย จำนวน 2 แห่งหลัก ทั้งที่ นวนคร และอมตะ

 

  • คาโอ เล็งพัฒนาสินค้านวัตกรรมเพิ่ม

“ยูจิ ชิมิซึ” ประธานกรรมการ บริษัท คาโอ อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) กล่าวว่า คาโอ และ บริษัท เอิร์ธ มีความสนใจที่จะร่วมมือพัฒนาผลิตภัณฑ์กำจัดยุงเข้ามาทำตลาดในระยะยาว มุ่งเน้นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีความเหมาะสมกับตลาดและตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าในประเทศ

พร้อมกันนี้ สนใจนำผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่นี้เข้าไปทำตลาดในภูมิภาคอาเซียน ทั้งในประเทศเวียดนามและมาเลเซียต่อไป ตามพื้นที่มีปัญหาเรื่องยุง 

ทำไม ‘อาท’ เลือกไทย เปิดตัวสเปรย์กำจัดยุงนวัตกรรมใหม่ครั้งแรกในโลก

  • ชี้ตลาด FMCG ไตรมาสแรกมีแนวโน้มทรง-ขยายตัว

สำหรับคาโอ เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยเป็นเวลาร่วม 60 ปีแล้ว โดยภาพรวมในไตรมาสแรกของปีนี้ ยังสามารถสร้างการเติบโตที่ดีในประเทศไทย ตามภาพรวมตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค (FMCG) ในประเทศที่มีทั้งกลุ่มขยายตัวและกลุ่มที่ทรงตัว ซึ่งกลุ่มที่ขยายตัวสูงจะเป็น กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เป็นต้น

ขณะที่ผลการดำเนินงานของคาโอ ในปี 2566 ที่ผ่านมา ยังสามารถสร้างการเติบโตที่ดีในประเทศไทยเป็นระดับหลักเดียว ปัจจัยเดียวที่ผลักดันทำให้คาโอ สร้างผลประกอบการขยายตัว มาจากการมีผลิตภัณฑ์ใหม่ออกมาสู่ตลาด การเร่งทำตลาดผ่านออนไลน์ และช่องทางอีคอมเมิร์ซ ที่มีการขยายตัวสูง