‘ลิสเตอรีน’ กระตุ้นคนไทยใช้น้ำยาบ้วนปาก เดินเกมสื่อสารตลาด ปลุกการรับรู้

อัตราการใช้น้ำยาบ้วนปากของคนไทยอยู่ที่ 30% พฤติกรรมใช้เพราะมุ่งสร้างลมหายใจสดชื่น “ลิสเตอรีน” เดินหน้าสื่อสารประโยชน์ ขจัดแบคทีเรีย ย้ำการดูแลสุขภาพช่องปากและฟันระยะยาว หวังผู้บริโภคมีน้ำยาบ้วนปากติดไว้ใช้ในห้องน้ำทั่วไทย
นางสาวชวีนา จิตรสมบูรณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ลิสเตอรีน ประเทศไทย กัมพูชา ลาว และเมียนมาร์ เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากและฟันมีมูลค่าประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยยาสีฟัน แปรงสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก และไหมขัดฟัน เป็นต้น ทว่า หากพิจารณาการใช้ผลิตภัณฑ์ จะพบว่าประชากรในครัวเรือนไทยมีอัตราการใช้น้ำยาบ้วนปากน้องราว 30%
ทั้งนี้ ความเชื่อและพฤติกรรมของผู้บริโภคเห็นว่าการแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟัน 2 ครั้งต่อวัน ถือเป็นแนวปฏิบัติมาตรฐานสำหรับการรักษาสุขภาช่องปากและฟัน และเจาะลึกกลุ่มวัยรุ่นอายุ 15 ปี มีเพียง 4.3% เท่านั้นที่ใช้ไหมขัดฟันในการทำความสะอาด ส่วนผู้ใหญ่อายุ 35-44 ปี มี 14.7% ใช้ไหมขัดฟัน และจากการศึกษาทั่วประเทศพบว่าโรคฟันผุส่งผลกระทบต่อคนอายุ 35-44 ปี มากถึง 91.8% สะท้อนถึงความจำเป็นอย่างยิ่งในการดูแลสุขอนามัยช่องปากให้ดียิ่งขึ้น
ทดลองแปรงฟันโดยใช้น้ำยาบ้วนปากและไม่ใช้
จากปัญหาข้างต้น ทำให้ลิสเตอรีน ในฐานะเป็นแบรนด์น้ำยาบ้วนปากอันดับ 1 ของโลกและไทย จึงเดินหน้าสร้างการรับรู้ ตอกย้ำให้เห็นถึงความสำคัญในการใช้ผลิตภัณฑ์น้ำยาบ้วนปาก ช่วยให้การทำความสะอาด และรักษาสุขอนามัยช่องปากและฟันครบวงจรมากยิ่งขึ้น
ล่าสุด จึงมีการเปิดบ้านนำทัพผู้ทรงอิทธิพลบนโลกออนไลน์หรือ KOLs เยี่ยมชมโรงงาน และศูนย์วิจัยและพัฒนาสินค้าของลิสเตอรีน ซึ่งผลิตโดย บริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (ไทย) จำกัด เพื่อให้เห็นศักยภาพ จุดแข็ง โดยเฉพาะการวิจัยที่ยาวนานถึง 117 ปี มีความแตกต่างด้วย พลังน้ำมันหอมระเหย 4 ชนิดหรือ 4 essential oils(4eos)ได้แก่ ยูคาลิปตอล เมนทอล เมทิล ซาลิไซเลต และไทมอล ช่วยลดคราบจุลินทรีย์ได้ 22.2% และลดปัญหาเหงือกอื่น ๆ ได้ถึง 28.2% ภายใน 6 เดือน ทำให้แบรนด์แกร่งเติบโต 135 ปี
นอกจากนี้ จะร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ การลงนามความร่วมมือ(เอ็มโอยู)กับคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ทั้งนักศึกษาทันตแพทย์ และภาคประชาชน ให้ข้อมูลความรู้แก่ผู้บริโภคหรือเอ็ดดูเคทเกี่ยวกับการดูแลสุขอนามัยของช่องปากและฟันต้องทำอย่างไร และมีอะไรบ้าง การร่วมกับมูลนิธิสร้างรอยยิ้ม ช่วยเหลือคนไทยที่มีปัญหาด้านอื่นๆ เช่น ปากแหว่งเพดานโหว่ เป็นต้น
“ลิสเตอรีนเป็นแบรนด์น้ำยาบ้วนปากอันดับ 1 ของโลก หน้าที่เราคือต้องเอ็ดดูเคทคนไทยในการดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน ซึ่งการแปรงฟัน ขัดฟัน 2 ครั้งต่อวันไม่เพียงพอ ควรมีอย่างอื่นด้วย โดยเฉพาะการใช้น้ำยาบ้วนปาก ที่จะดูแลสุขภาพช่องปากและฟันระยะยาว ขณะที่การสื่อสารตลาด เราได้ใช้ KOL ช่วยเป็นกระบอกเสียงถึงผู้บริโภค ลิสเตอรีนมีการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ มีวิทยาศาสตร์อยู่เบื้องหลัง และให้ทดลองรังสรรค์สินค้าสูตรของตัวเอง เพื่อเห็นว่าสินค้าที่ออกมามีส่วนประกอบอะไรบ้าง”
ที่ผ่านมา พฤติกรรมผู้บริโภคที่ใช้น้ำยาบ้วนปาก การรับรู้ส่วนใหญ่คือประโยชน์ของสินค้าที่ช่วยให้ลมหายใจสดชื่น ซึ่งเห็นผลทันทีหลังใช้ แต่เมสเสจดังกล่าว สอดคล้องกับการแปรงฟัน ที่ให้ความสดชื่นเช่นกัน ดังนั้น จึงต้องสื่อสารคุณประโยชน์ของน้ำยาบ้วนปากมากขึ้น การขจัดแบคทีเรียในช่องปากและฟัน และการดูแลสุขภาพช่องปากและฟันเป็นเรื่องระยะยาว ผลักดันเป้าหมายต้องการให้มีน้ำยาบ้วนปากในห้องน้ำ ถูกใช้เป็นประจำด้วย
“ถ้าไม่ปลดล็อกการสื่อสารการใช้น้ำยาบ้วนปากช่วยขจัดแบคทีเรีย การดูแลสุขอนามัยช่องปากและฟันในระยะยาว สินค้าจะไม่สามารถเข้าไปอยู่ในรูทีน ในห้องน้ำของคนไทย”
แผนธุรกิจปี 2567 บริษัทยังเตรียมออกสินค้าใหม่เสริมทัพ ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทั้งสูตร และขนาดสินค้า รวมถึงกิจกรรมการตลาดต่างๆ จากปีก่อนมีการรีลอนซ์สินค้าใหม่ 3 รายการ ปัจจุบันสินค้าในพอร์ตโฟลิโอมีราว 40-50 รายการ(เอสเคยู)
สำหรับการเยี่ยมชมโรงงาน ห้องปฏิบัติการฯ ของลิสเตอรีน ที่นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง ถือเป็นโรงงานใหญ่สุดในเอเชียแปซิฟิก รองรับการผลิตสินค้ากว่า 500 รายการ เพื่อป้อน 15 ตลาด เช่น อเมริกาเหนือ และเอเชียแปซิฟิก ปี 2567 ตลาดน้ำยาบ้วนปากโลกมีมูลค่า 6,070 ล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 7,600 ล้านดอลลาร์ ในปี 2572 การเติบโตเฉลี่ย(CAGR) 4.56% โดยลิสเตอรีนเป็นเบอร์ 1 ในโลก และไทย ซึ่งทำตลาดมา 54 ปี