รวมสูตรการสร้างขีดความสามารถการแข่งขันของธุรกิจ

รวมสูตรการสร้างขีดความสามารถการแข่งขันของธุรกิจ

บทความที่ผ่านมาในคอลัมน์นี้ได้เล่าทบทวนถึงทฤษฎีด้านการสร้างความสามารถการแข่งขันหรือการสร้างความได้เปรียบของธุรกิจที่ถือได้ว่าเป็นทฤษฎีด้านการบริหารจัดการธุรกิจสมัยใหม่ในระยะเวลาประมาณ 80 ปีที่ผ่านมา

ซึ่งมีความแตกต่างไปจากเรื่องของการใช้กลยุทธ์การตลาดดั้งเดิมแบบ ลด แลก แจก แถม

ทฤษฎีและแนวคิดในยุคแรก มักจะให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์สถานะที่ธุรกิจมีบทบาทในอุตสาหกรรมหรือในตลาด เช่น การตรวจหา จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรค (SWOT) การวิเคราะห์อำนาจต่อรองของธุรกิจต่อแรงกดดันจากคู่แข่งในตลาด จากลูกค้า จากคู่ค้า และผู้ขายวัตถุดิบ หรือผู้ให้บริการ ที่ถือว่าเป็นต้นน้ำของธุรกิจ ธุรกิจหน้าใหม่ในตลาดหรือสินค้าแนวใหม่ที่จะมาทำให้ธุรกิจของเรากลายเป็นธุรกิจล้าสมัย (5-Force)

ในยุคต่อมา การสร้างความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจจะขยายขอบเขตไปถึงองค์ประกอบอื่นที่เน้นไปถึงกระบวนการภายในของธุรกิจที่นอกเหนือจากอิทธิพลของตลาดและคู่แข่ง เช่น การให้ความสำคัญกับการสร้างสมรรถนะด้านต่างๆ ของธุรกิจ เช่น องค์ความรู้และความชำนาญเฉพาะที่ธุรกิจสร้างและสะสมขึ้นภายในตัวธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นความสามารถของพนักงาน และความเข้มแข็งทางการเงิน ที่มักจะเรียกว่าสมรรถนะหลักหรือสมรรถนะแก่น (Core Competencies) ของธุรกิจ รวมถึงทฤษฎีการปรับปรุงพัฒนาวิธีการดำเนินธุรกิจ (Re-Engineering) และการแสวงหาหรือสร้างตลาดใหม่ที่มีการแข่งขันยังไม่รุนแรง (Blue Ocean) อ่านบทความย้อนหลังได้ที่เว็บไซต์ “กรุงเทพธุรกิจ”

ในยุคปัจจุบันที่เป็นยุคที่ธุรกิจให้ความสำคัญกับการสร้างความสามารถในการแข่งขันด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม เริ่มจากในช่วงต้นของศตวรรษ 2000 มีการนำเสนอ ทฤษฎีนวัตกรรมด้านกระบวนการหรือโมเดลธุรกิจ (Business Model Innovation) ที่เน้นให้ธุรกิจมุ่งความสำคัญในการนำเสนอคุณค่าที่แปลกใหม่และเฉพาะตัวให้กับลูกค้าเฉพาะกลุ่มด้วยการฉีกแนวรูปแบบของธุรกิจออกไปจากเดิม ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือการเกิดขึ้นและการเติบโตอย่างรวดเร็วของธุรกิจออนไลน์

การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้สร้างความสามารถในการแข่งขันจะทำให้ธุรกิจที่เคยเป็นธุรกิจที่ต้องเดิมต่อสู้ฟาดฟันกับคู่แข่งในตลาดกลายมาเป็นผู้นำในตลาดในระดับที่จะทำให้เกิดการ “ชะงักงันปั่นป่วน” ของธุรกิจอื่นๆ ในตลาด ซึ่งเป็นที่มาของคำศัพท์ทันสมัย “ดิสรัปชั่น” ก็เป็นทฤษฎีที่นักวิชาการตะวันตกเสนอขึ้นและได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจเริ่มใหม่ที่เจ้าของเป็นคนรุ่นใหม่ (Business Disruption)

ควบคู่ไปกับคำว่า “ดิสรัปชั่น” คำว่า “ทรานส์ฟอร์เมชั่น” ก็เข้ามาเพื่อทำให้ธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันหรือการสร้างความได้เปรียบให้กับธุรกิจได้อีกวิธีหนึ่ง การ “ทรานส์ฟอร์ม” หรือการปรับเปลี่ยนธุรกิจด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัล เข้ามาใช้ในกระบวนการทางธุรกิจ ซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพ ความรวดเร็ว ความแม่นยำ ฯลฯ ให้กับธุรกิจ (Business Transformation)

ทฤษฎีที่น่าสนใจในยุคทศวรรษแรกๆ ของศตวรรษใหม่ มีการกล่าวถึงการสร้างธุรกิจให้มีความคล่องตัว ปรับตัวได้ว่องไวตามสถานการณ์ทางธุรกิจที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาและรวดเร็ว ธุรกิจที่จะแข่งขันและอยู่ในตลาดได้อย่างยั่งยืน “Agile หรือ “Agility” ถูกนำมาใช้กับการบริหารธุรกิจ เพื่อต่อสู้หรือแข่งขันกับสภาวะแวดล้อมทางธุรกิจในโลกที่ VUCA หรือมี ความผันผวนสูง (Volatility) ความไม่แน่นอนสูง (Uncertain) ความซับซ้อนสูง (Complex) และความคลุมเครือสูง (Ambiguous)

คำว่า Business Agility ยังไม่มีศัพท์ภาษาไทยที่เหมาะสม ดังนั้นจึงต้องยืมคำภาษาอังกฤษมาใช้พลางก่อน “อะไจล์”

ทฤษฎี Business Foresight (ยังไม่มีศัพท์เทียบภาษาไทยใช้) ซี่งนำมาสู่คำศัพท์ใหม่ว่า “ฉากทัศน์” (Scenario) ซึ่งถูกนำมาใช้กันมากยิ่งขึ้น เป็นเรื่องของการสร้างวิสัยทัศน์ของทิศทางธุรกิจด้วยการกำหนดภาพอนาคตของธุรกิจที่ต้องการจะสร้างขึ้นใหม่ในอนาคต เปรียบเทียบกับการพยากรณ์อนาคตที่ใช้ข้อมูลในอดีตมาวิเคราะห์แนวโน้มและความน่าจะเป็น ซึ่งวิธีเดิมๆ นี้ อาจไม่สามารถนำมาใช้ได้ในสภาวะที่ “ฉากทัศน์” ของธุรกิจอาจเปลี่ยนไปได้อย่างรวดเร็วคาดไม่ถึงจะไม่เป็นไปตามแนวโน้มในอดีต

ดังนั้นการสร้าง “ฉากทัศน์อนาคต” ที่ธุรกิจต้องการจะสร้างขึ้นและไปให้ถึง จึงเป็นการสร้างความสามารถในการแข่งขันที่จะไม่มีคู่แข่งรายใดคาดหมายหรือคาดเดาทิศทางได้

ล่าสุด ก็คงจะเดากันได้ไม่ยากว่าธุรกิจที่จะมีขีดความสามารถและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันคงจะหนีไม่พ้นเรื่องของการเป็นผู้นำด้าน ธุรกิจสีเขียว (Green Business) และ ธุรกิจยั่งยืน (Sustainable Business) ซึ่งจะเน้นไปกับการดำเนินธุรกิจที่ดูแลรักษาธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ (Environment) ช่วยสร้างสรรค์และดูแลสังคม (Social) และทำธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาล (Good Governance) ที่มักเรียกกันว่า “ธุรกิจ ESG”

อย่างไรก็ตาม แนวคิดหรือทฤษฎีการสร้างความสามารถหรือการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันของธุรกิจไม่ว่าจะเป็นทฤษฎีเก่าแก่หรือทฤษฎีใหม่ทันสมัย หากธุรกิจมีความเข้าใจพื้นฐานของแนวคิดอย่างชัดเจนและเห็นว่ามีความเหมาะสมกับ “จริต” ของธุรกิจ ก็ย่อมสามารถนำมาใช้ได้เช่นกัน

การนำสิ่งใหม่มาใช้กับธุรกิจย่อมมีความเสี่ยงในการประสบความสำเร็จหรืออยู่ในตัวเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ดังนั้น ธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอี จึงไม่ควรที่จะปรับเปลี่ยนจุดมุ่งหมายและวิธีการทำธุรกิจไปตามกระแสหรือคำแนะนำจากผู้อื่นโดยยังไม่มีความรู้พื้นฐานหรือความเข้าใจผลกระทบที่จะมีต่อธุรกิจของตนเองอย่างชัดเจน!!??!!