จับตา 'อิเกีย' เตรียมแผนเปิดแผนสาขาใหม่ 'เชียงใหม่' ปักธงเมืองท่องเที่ยว
ข่าวสะพัด 'อิเกีย' กำลังก่อสร้างสาขาใหม่ "เชียงใหม่" เป็นสาขาที่ 5 ในประเทศไทย มองโอกาสเมืองท่องเที่ยวภาคเหนือกำลังบูม
รายงานข่าวระบุว่า อิเกีย (IKEA) แบรนด์เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน ยักษ์ใหญ่จากประเทศสวีเดน กำลังมีแผนลงทุนก่อสร้างสาขาใหม่ที่จังหวัดเชียงใหม่
สำหรับการเปิดสาขาใหม่ "เชียงใหม่" ประเมินว่าจะเปิดโฉมอย่างเป็นทางการได้ในอนาคตอันใกล้ จึงจะเป็นสาขาลำดับที่ 5 ในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังมีกระแสข่าวถึง อิเกีย ที่สนใจสร้างสาขาใหม่ในทำเล "รังสิต" เช่นกัน เนื่องเป็นพื้นที่เดิมของบริษัทที่มีที่ดินอยู่
อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของผู้บริหารอิเกีย โดย “ลีโอนี่ ฮอสกิ้น” ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจค้าปลีก อิเกีย ประเทศไทย และเวียดนาม กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า มีหลายเมืองในประเทศไทยที่ “อิเกีย” สนใจขยายสาขาในประเทศไทย รวมถึงเชียงใหม่ที่สนใจสูงและมีโอกาสโดยเป็นทำเลที่มีศักยภาพขยายไปในพื้นที่ภาคเหนือ รวมถึงพื้นที่ รังสิต มีความสนใจเช่นกัน
หากสำรวจเส้นทางของ อิเกีย (IKEA) แบรนด์เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน ยักษ์ใหญ่จากประเทศสวีเดน อยู่ในตลาดโลกมาร่วม 80 ปีแล้ว ได้เข้ามาขยายธุรกิจในประเทศไทยช่วง 12 ปีก่อน ในปัจจุบัน มี 4 สาขา ประกอบด้วย บางนา ภูเก็ต บางใหญ่ และสาขาสุขุมวิท
ไทม์ไลน์ อิเกีย ในประเทศไทย
- สาขาแรกบางนา สาขาแรกในประเทศไทย เปิดในปี 2554 ขนาดพื้นที่สโตร์ 44,000 ตร.ม. จำนวนสินค้า 9,873 รายการ พนักงานประมาณ 450 คน
- สาขาสอง อิเกีย ภูเก็ต เปิดในปี 2558 มีขนาดสโตร์ 2,198 ตร.ม. มีจำนวนสินค้า เท่ากับ อิเกีย บางนา เนื่องจากเป็นการสั่งสินค้าจากสโตร์นี้ พนักงานประมาณ 23 คน
- สาขาบางใหญ่ เปิดในปี 2560 มีขนาดพื้นที่ 50,278 ตร.ม. เป็นสาขาที่มีขนาดใหญ่สุดในไทย จำนวนสินค้า 9,864 รายการ พนักงานประมาณ 450 คน
- สาขาอิเกีย สุขุมวิท ขนาดพื้นที่ 12,000 ตร.ม. เปิดเมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 2566 พนักงานประมาณ 180 คน โดยการเปิดสาขาช่วงสัปดาห์แรกลูกค้าพุ่งถึง 1.2 แสนคน
หากประเมินผลประกอบการของอิเกีย ในประเทศไทย ก็เติบโตสูง ทั้งหมดมีความสอดรับกับแผนการเปิดสาขาใหม่ในไทย
ทั้งนี้ บริษัท อิคาโน่ รีเทล ผู้ถือแฟรนไชส์อิเกีย ทั้งประเทศไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ เม็กซิโก และฟิลิปปินส์ ได้ประกาศผลประกอบการในปีงบประมาณ 2567 (ก.ย. 2566 - 31 ส.ค. 2567) มีรายได้รวมประมาณ 4 หมื่นล้านบาท (1.09 พันล้านยูโร) เพิ่มขึ้น 1.3% จากปีก่อน ส่วนประเทศไทย ได้ประกาศลดราคาสินค้าครั้งใหญ่ในปี 2567 จำนวนกว่า 2,400 รายการ ซึ่งมีสัดส่วน 85% เป็นสินค้าจำเป็นหรือสินค้าขายดี รวมถึงได้ลดค่าบริการขนส่งสินค้าโดยรถบรรทุก
สำหรับประเทศไทย บริษัทมีผลประกอบการในปี 2567 (ก.ย. 2566 - 31 ส.ค. 2567) สร้างรายได้รวมกว่า 1 หมื่นล้านบาท (ราว 286 ล้านยูโร) เติบโต 3.9% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
ภาพรวมสาขาในประเทศไทย เติบโตมากสุดในภูมิภาคนี้
- สิงคโปร์ มี 3 สาขา อยู่ที่ 9,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.6%
- มาเลเซีย มี 4 สาขา อยู่ที่ 1.1 หมื่นล้านบาท หดตัวลง 4.2%
- ไทย มี 4 สาขา มากกว่า 1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.9%