ส่องบิ๊กแบรนด์เครือสหพัฒน์ 'มาม่า' โตแกร่ง 'ฟาร์มเฮ้าส์' ยอดขาย-กำไรลด!

ส่องบิ๊กแบรนด์เครือสหพัฒน์ 'มาม่า' โตแกร่ง 'ฟาร์มเฮ้าส์' ยอดขาย-กำไรลด!

ส่อง 2 สินค้าพระเอกในเครือสหพัฒน์ “มาม่า-ฟาร์มเฮ้าส์” ของกินจำเป็นต่อการดำรงชีพ บะหมี่กึ่งสำเร็จยังสร้างการเติบโตโดดเด่น ทว่า เบเกอรี่เบอร์ 1 ยังคง “หดตัว” ทั้งยอดขาย-กำไร

เครือสหพัฒน์ ยักษ์ใหญ่สินค้าอุปโภคบริโภคของเมืองไทย ภายใต้อาณาจักรสามารถสร้างรายได้ทั้งกลุ่มระดับ 3 แสนล้านบาท จากหลากหลายแบรนด์ โดยผลงานไตรมาส 3 และภาพรวม 9 เดือน 2 แบรนด์ดัง “มาม่า-ฟาร์มเฮ้าส์” ที่ต่างเป็นสินค้าจำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวัน เพราะผู้บริโภคต้องรับประทาน ไม่ว่าจะยากดีมีจนก็ตาม

“มาม่า” บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเบอร์ 1 ภายใต้การขับเคลื่อนของบริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด(มหาชน) เผยผลงานไตรมาส 3 ปี 2567 บริษัทสร้างยอดขายรวม 7,620.75 ล้านบาท เติบโต 10.49% เทียบช่วงเกียวกันของปีก่อน ขณะที่ “กำไรสุทธิ” อยู่ที่ 1,048.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.98% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

สำหรับยอดขายไตรมาส 3 ที่เติบโต เริ่มจากตลาดในประเทศมีการเปิดตัว มาม่า โอเค รสชาติใหม่ แบรนด์มีการทุ่มงบโฆษณาสื่อสารการตลาด จนผลักดันยอดขายเติบโตได้ 7.11% ท่ามกลางการแข่งขันเดือด! แต่บริษัทยังสร้างความได้เปรียบจากการมีสินค้าหลากหลายในพอร์ตโฟลิโอ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค รวมถึงการมี “เครือข่ายการจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่ง” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจ

นอกจากนี้ ตลาดต่างประเทศ เป็นอีกทัพธุรกิจที่สำคัญของ “มาม่า” ซึ่งมีทั้งฐานการผลิตในต่างประเทศ มีการส่งออกไปยังหลายประเทศทั่วโลก ไตรมาส 3 ยอดขายเติบโตสูงถึง 48.34% ส่วนหนึ่งยังมาจากการเริ่มผลิตและจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของบริษัทย่อยในประเทศเมียนมา ตั้งแต่เดือนกันยายน 2566

ขณะที่ผลงาน 9 เดือน บริษัทกวาดยอดขาย 2.21 หมื่นล้านบาท เติบโต 8.33% ส่วน “กำไรสุทธิ” อยู่ที่ 3,286.77 ล้านบาท เติบโตถึง 20.64% เทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน ด้าน “ต้นทุนการขาย” ไตรมาส 3 ปรับตัวลดลง 9.78% เนื่องจากแป้งสาลี ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักมีราคาลดลง ทว่ารวม 9 เดือน สถานการณ์ต้นทุนการขายยังเพิ่มขึ้น 5.19%

ด้านเบอร์ 1 ในตลาดเบเกอรี่อย่าง “ฟาร์มเฮ้าส์” อีกสินค้าจำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวัน ที่อยู่ภายใต้บริษัท เพรซิเดนท์ เบเกอรี่ จำกัด(มหาชน) ผลงานไตรมาส 3 บริษัทมีรายได้จากการขาย 1,932.34 ล้านบาท “ลดลง 1.72%” เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วน “กำไรสุทธิ” อยู่ที่ 415.1 ล้านบาท “ลดลง 8.03%” ส่วน 9 เดือน บริษัทมีรายได้จากการขาย 5,587.66 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.46% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และมี “กำไรสุทธิ” อยู่ที่ 1,203.78 ล้านบาท “ลดลง 1.47%” จากช่วงเดียวกันปีก่อน

สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อการดำเนินธุรกิจ มีดังนี้

1.เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ท่ามกลางแรงกดดัน สถานการณ์ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์โลก การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน อัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นของสหรัฐ รวมถึงการแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจ ซึ่งนำโดยสหรัฐและจีนอย่างชัดเจน ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลก ที่อานนำมาสู่ต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น ทั้งด้านพลังงานและอาหาร

2.เศรษฐกิจในประเทศ ได้รับแรงกระตุ้นจากภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ในด้านการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดว่าเศรษฐกิจไทย(จีดีพี)จะขยายตัว 2.6%

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงด้านปัญหาหนี้ครัวเรือน และจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ซึ่งอาจทำให้การส่งออกสินค้าไทยไม่เป็นไปตามเป้าหมาย รวมถึงผลกระทบของมาตรการตอบโต้ทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่รุนแรงขึ้น และปัญหาภูมิรัฐศาสตร์โลก

ประเด็นข้างต้นล้วนมีผลกระทบต่อ “กำลังซื้อภายในประเทศ”

ทั้งนี้ ยังมีปัจจัยที่อาจมีผลต่อการดำเนินงานหรือการเติบโตของฟาร์มเฮ้าส์ในอนาคต ยังมีอยู่ ทั้งจากปัญหาสงคราม ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะมาตรการตอบโต้ทางการค้าของ 2 ชาติมหาอำนาจ “สหรัฐ VS จีน” ที่อาจรุนแรงขึ้น ภาคพลังงานโลกที่ผันผวน ปัญหาโลกำร้อยี่ส่งผลให้เกิดความแปรปรวนของสภาพภูมิศาสตร์ ทำให้การเก็บเกี่ยวผลผลิตภาคการเกษตรไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งปัจจัยเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อราคาวัตถุดิบในการผลิตสินค้า