สรุปค้าปลีกปี 67 ไม่ติดลบ-แต่ไม่สมดุล ร้านค้าส่งอุปโภคบริโภคโตน้อยสุด 1-3%

สรุปค้าปลีกปี 67 ไม่ติดลบ-แต่ไม่สมดุล ร้านค้าส่งอุปโภคบริโภคโตน้อยสุด 1-3%

เจาะอินไซต์ค้าปลีกไทยในปี 2567 มีการเติบโตแบบไม่สมดุล ร้านค้าส่งอุปโภคบริโภคโตน้อยสุด 1-3% ส่วนกลุ่มแฟชั่น-ไลฟ์สไตล์, สเปเชียลตี้สโตร์,และเชนภัตตาคาร ร้านอาหารและเครื่องดื่ม โตมากสุด 3-7% ภาคอีสานน่ากังวลมากสุด ผู้ประกอบการเร่งปรับแผน ดูแลสต็อกสินค้า สภาพคล่อง

สมาคมผู้ค้าปลีกไทย ฉายภาพรวมค้าปลีกไทยในปี 2567 เป็นช่วงเวลาที่ผู้ประกอบการต้องปรับแผนธุรกิจหลายๆ ด้าน เพื่อร่วมสร้างการเติบโต ท่ามกลางแรงกดดันจากทั้งการแข่งขันที่มีมากขึ้น การเข้ามาของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซจากจีน มีผลกระทบของลูกค้ามีการใช้จ่ายเปลี่ยนแปลงไป รวมถึงกำลังซื้อต่างจังหวัดแต่ละทำเลโตไม่เท่ากับเมืองท่องเที่ยว

แต่ท่ามกลางปัจจัยลบยังมีสัญญาณบวกจากการที่ภาครัฐ เริ่มใช้จ่ายงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวที่กลับมาฟื้นตัว รวมถึงมาตรการลดหนี้ของภาคการเงินที่ทยอยออกมา ชุบชีวิตให้แก่คนในประเทศ 

นายณัฐ วงศ์พานิช ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า ภาพรวมค้าปลีกตลอดปี 2567 พบว่าปรับตัวดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา ผลจากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวและการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีจากภาครัฐ แต่เป็นการฟื้นตัวอย่างช้าๆ และไม่สมดุล ทั้งประเภทร้านค้าปลีกและประเภทภูมิภาคเมื่อเทียบกับปี 2566 

สรุปค้าปลีกปี 67 ไม่ติดลบ-แต่ไม่สมดุล ร้านค้าส่งอุปโภคบริโภคโตน้อยสุด 1-3%

ส่องการเติบโตแต่ละกลุ่มค้าปลีก

ทั้งนี้เมื่อประเมินภาพรวมร้านค้าปลีกในแต่ละกลุ่มรอบปี 2567 ที่ผ่านมา การเติบโตแตกต่างกันแบ่งเป็น 

  • กลุ่มแฟชั่น-ไลฟ์สไตล์, สเปเชียลตี้สโตร์,และเชนภัตตาคาร ร้านอาหารและเครื่องดื่ม เติบโต 3-7%
  • ร้านค้าวัสดุก่อสร้าง ตกแต่ง ซ่อมบำรุง เติบโต 2-5%
  • ร้านค้าสะดวกซื้อ, ซูเปอร์มาร์เก็ต, ไฮเปอร์มาร์เก็ต และร้านค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภค โตน้อยสุด 1-3%

สำรวจปัจจัยฉุดธุรกิจ

ทางด้านภาพรวมการเติบโตแบบกระจุกตัวในกรุงเทพปริมณฑล ภาคตะวันออก และในเมืองตามจังหวัดท่องเที่ยวเท่านั้น สำหรับปัจจัยที่มีผลกระทบต่อภาคครัวเรือนและผู้ประกอบการค้าปลีกในปีนี้ อาทิ

  • การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ไม่เป็นตามที่ภาครัฐคาดการณ์ไว้ ทำให้ผู้ประกอบการค้าปลีกเกินกว่า 37% ผลิตหรือสต็อกสินค้าเกินความเหมาะสมไว้ก่อนแล้ว
  • การหดตัวด้านการลงทุน ที่ส่งผลต่ออัตราการจ้างงานและการบริโภค
  • หนี้ครัวเรือนสูง และภาระหนี้สินของเอสเอ็มอี 
  • รวมทั้งมาตรการแจกเงิน 1 หมื่นบาทให้กลุ่มเปราะบาง 14.5 ล้านคน ยังไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ชัดและยังต้องรอความชัดเจนในเฟสต่อไปที่จะแจกให้กับกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มอื่นๆ
  • การมีเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจกว่า 5-6 หมื่นล้านบาท 

ภาคอีสานน่าห่วงมากสุด

รวมถึงที่ผ่านมา “ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย” สะท้อนถึง ภาพรวมอุตสาหกรรมค้าปลีกไทยช่วงครึ่งปีหลัง 2567 ที่ผ่านมา อยู่ในภาวะ “เหนื่อยกว่าที่คาด หนักกว่าที่คิด” โดยในช่วงไตรมาสแรกฟื้นตัวดี เติบโต 4.3% ไตรมาส 2 ขยายตัว 3% ส่วนไตรมาส 3 อาจแย่กว่าไตรมาส 2

ในครึ่งปีแรกกลุ่มที่ขยายตัว เป็นออนไลน์ นอน-ฟู้ด ห้างสรรพสินค้า เสื้อผ้าแฟชั่นความงามและไลฟ์สไตล์ ส่วนกลุ่มอาหารและของใช้ หรือกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (FMCG) ทรงตัว หรือ ไม่มีการเติบโต ทางด้าน “ร้านสะดวกซื้อ” และ “ซูเปอร์มาร์เก็ต” เติบโตดี โดยเฉพาะที่อยู่ในศูนย์การค้า ทั้งกรุงเทพฯ  ปริมณฑล และภาคกลาง ส่วนต่างจังหวัด ภาคเหนือ และภาคกลางทรงตัว ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ลดลงเล็กน้อย กลุ่มไฮเปอร์มาร์เก็ตและค้าปลีกท้องถิ่น “ติดลบ” กลุ่มค้าปลีกจำหน่ายสินค้าวัสดุก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่ง-ซ่อมแซมบ้าน หดตัวจากงบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ที่ล่าช้าออกไป

ทางด้านอีสานอินไซด์ ระบุถึงภาพรวมเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง สะท้อนศักยภาพเศรษฐกิจอีสานโตต่ำกว่าที่คาดไว้ และในเดือน ก.ค. ขยายตัว 2.2%  ต่ำสุดและน่าห่วงสุดในรอบ 30 ปี เป็นผลพวงจากวิกฤติโควิด-19 กระทบกิจกรรมเศรษฐกิจเกือบทั้งหมดลดลงชัดเจน กดดันภาคการค้า ภาคธุรกิจชะลอตัวลง

เมื่อตลาดแข่งขันรุนแรงขึ้น

ส่วน “นายมิลินทร์ วีระรัตนโรจน์” ประธาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตั้งงี่สุน ซูเปอร์โสตร์ จำกัด ดำเนินธุรกิจค้าส่ง-ค้าปลีก รายใหญ่ในจังหวัดอุดรธานี เสริมว่า ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมกำลังซื้อที่อ่อนแรงลงนั้น มาจากปัจจัยหลักคือ หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงเกิน 90% ของจีดีพีประเทศไทย 

รวมถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศที่อัตราการเกิดน้อยลง ทำให้จำนวนประชากรในแต่ละพื้นที่น้อยลง มีผลต่อการใช้จ่ายในแต่ละพื้นที่ไม่ได้คึกคักเหมือนเดิม รวมถึง การขยายสาขาของค้าปลีกรายใหญ่มีผลต่อค้าปลีกรายเดิมในแต่ละพื้นที่เช่นกัน 

ทั้งหมด สอดคล้องกับการสอบถามความคิดเห็นกับผู้ประกอบการค้าปลีกในต่างจังหวัดรอบปี 2567 ที่ผ่านมา ฉายภาพว่า ต่างจังหวัดกำลังซื้อไม่คึกคักเหมือนเดิม โดยพื้นที่น่าห่วงมากกว่าภูมิภาคอื่นคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เนื่องจากเศรษฐกิจโดยรวมไม่ได้ถูกขับเคลื่อนจากการท่องเที่ยวเหมือนภาคอื่นๆ อีกทั้งคาดหวังว่า การมีรัฐบาลชุดใหม่ จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นฉับพลัน ทุกอย่างอาจจะต้องใช้เวลา ทำให้ความหวังที่เคยตั้งเป้าหมายไว้ ต้องเก็บไว้เช่นเดิม

ผู้ประกอบการต้องปรับแผนสต็อกสินค้า-คุมต้นทุน

อีกทั้งภาคค้าปลีกต่างจังหวัด ยังเผชิญความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติคือ น้ำท่วมกระทบต่อเศรษฐกิจและกำลังซื้อให้อ่อนแอลง โดยตั้งแต่ในช่วงเดือน ส.ค.-ต.ค.ที่ผ่านมา ภาคค้าปลีกภาคเหนือ ประสบกับอุทกภัยครั้งใหญ่ มีผลต่อการใช้จ่ายให้ชะลอตัวลง รวมถึงช่วงปลายปีภาคใต้เกิดน้ำท่วมใหญ่หลายจังหวัด เป็นภัยทางธรรมชาติที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นมาก่อน 

แนวทางการปรับตัวของผู้ประกอบการต่างใช้แนวทาง การบริหารสินค้าใหม่ โดยร่วมลดสต็อกสินค้าลงและเน้นสินค้าที่สร้างผลกำไรสูง พร้อมบริหารองค์กรภายในเพื่อร่วมลดต้นทุนภายใน และการลงทุนทางด้านเทคโนโลยีมาร่วมเพิ่มประสิทธิภาพของธุรกิจ รวมถึงการทำกิจกรรมการตลาดทั้งจัดงานอีเวนต์และโปรโมชั่น ร่วมกระตุ้นกำลังซื้อ