ท่องเที่ยวลักชัวรี 7.7 หมื่นล้านโตเด่น ลุยโจทย์ชุบ ‘ไทยแลนด์’ สู่แบรนด์หรู!

เทรนด์การท่องเที่ยวแบบหรูหราเจาะ 'กลุ่มลักชัวรี' เห็นความเปลี่ยนแปลงชัด! นอกเหนือจากการเกิดขึ้นของสินค้ามากมาย ทั้งบริการเรือยอช์ต โรงแรมที่พักระดับไฮเอนด์ ไปจนถึงบริการระดับอัลตราลักชัวรี ซึ่งเน้นคุณสมบัติ การบริการ และเข้าถึงได้แค่คนเฉพาะกลุ่มเท่านั้น
KEY
POINTS
- เทรนด์การท่องเที่ยวแบบหรูหราเจาะ “กลุ่มลักชัวรี” เห็นความเปลี่ยนแปลงชัด! นอกเหนือจากการเกิดขึ้นของสินค้ามากมาย ทั้งบริการเรือยอช์ต โรงแรมที่พักระดับไฮเอนด์ ไปจนถ
ปัจจุบันนักท่องเที่ยวกลุ่มลักชัวรีไม่ได้มองหาแค่ความโอ่อ่า เลอค่า และการบริการแบบพิเศษเพียงอย่างเดียว แต่ยังมองหาความรู้สึก และความคุ้มค่าของประสบการณ์ที่ได้รับด้วย
จิระวดี คุณทรัพย์ รองผู้ว่าการด้านสินค้า และธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ตามแผนการพัฒนาสินค้าด้านการท่องเที่ยวในปี 2568 ของ ททท. มุ่งขยายฐานกลุ่มนักท่องเที่ยวให้ความสนใจเฉพาะ หรือ “นิชมาร์เก็ต” (Niche Market) โฟกัส 4 กลุ่มความสนใจ ได้แก่ ลักชัวรี, เวลเนส, สปอร์ต ทัวริสซึ่ม และโรมานซ์ เพราะแม้จะมีจำนวนน้อย แต่กำลังการใช้จ่ายสูง
ข้อมูลจาก alliedmarketresearch ระบุว่า ตลาดนิชมาร์เก็ตมีมูลค่าตลาดโลกอยู่ที่ 3.1 หมื่นล้านบาท ในปี 2562 ก่อนโควิด-19 ระบาด และคาดว่าจะเติบโตถึง 3.9 แสนล้านบาทในปี 2570 คาดการณ์นี้ชี้ชัดว่าอยู่ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ “กลุ่มมิลเลนเนียลส์” ที่มีฐานะปานกลางถึงสูงในประเทศแถบเอเชีย เช่น จีน มาเลเซีย ฮ่องกง และอินเดีย จากการเติบโตทางเศรษฐกิจในเอเชีย โดยเฉพาะจีน และอินเดีย
สำหรับการท่องเที่ยวแบบลักชัวรีใน “ประเทศไทย” ได้รับความสนใจ และเติบโตต่อเนื่อง ข้อมูลจากอิปซอสส์ (Ipsos) บริษัทวิจัยตลาดระดับโลก ระบุว่าในปี 2566 การท่องเที่ยวแบบลักชัวรีในไทยมีมูลค่าตลาดประมาณ 6-7 หมื่นล้านบาท ด้าน ททท.คาดว่าในปี 2567 จะเติบโตต่อเนื่อง 8-10% ต่อปี หรือคิดเป็นมูลค่าราว 6.6-7.7 หมื่นล้านบาท อ้างอิงจากการฟื้นตัวของตลาด และความนิยมในการเดินทางของกลุ่มนักท่องเที่ยวระดับสูงจากต่างประเทศ
โดยพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศในไตรมาส 1-3 ของปี 2567 นักท่องเที่ยวกลุ่มลักชัวรีมีการกระจายตัวสู่พื้นที่ 5 อันดับแรกในไทย ได้แก่ กรุงเทพฯ ภูเก็ต ชลบุรี (พัทยา) กระบี่ และสุราษฎร์ธานี (เกาะสมุย) มีค่าใช้จ่ายรวมเฉลี่ย 77,693 บาท/คน/ทริป หรือเฉลี่ยวันละ 6,171 บาท ใช้เวลาท่องเที่ยวในไทยราว 9-10 วัน
“ภารกิจหลักของ ททท. ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวคือ การรุกตลาดศักยภาพ เมื่อดูเฉพาะกลุ่มลักชัวรี เราจะมุ่งเจาะตลาดหลักๆ อย่างจีน สหรัฐ และตะวันออกกลาง ด้วยสินค้าทางการท่องเที่ยวที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย”
จิระวดี เล่าเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการเป็นหมุดหมายการท่องเที่ยวด้านลักชัวรี จากจุดเด่นหลายประการ ได้แก่ 1.ความหลากหลายของสถานที่ท่องเที่ยว ประเทศไทยมีสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลายประเภท ตั้งแต่ธรรมชาติอันงดงาม เช่น ชายหาด เกาะสวยงาม ไปจนถึงเมืองที่มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม
2.โรงแรมและรีสอร์ตระดับหรู ประเทศไทยมีที่พักมาตรฐานระดับโลกตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวกลุ่มลักชัวรี ปัจจุบันโรงแรมระดับ 4-5 ดาวสามารถปรับราคาเพิ่มขึ้น 20-30% เป็นไปตามกลไกตลาดสัมพันธ์กับดีมานด์การเข้าพักที่สูงขึ้น ส่งผลให้ไทยมีรายได้การท่องเที่ยวจากกลุ่มลักชัวรีเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
และ 3.การให้บริการระดับพรีเมียม (Premium) ไปจนถึงระดับอัลตราลักชัวรี (Ultra Luxury) โดดเด่นด้วยมาตรฐานระดับสูง ช่วยสร้างความประทับใจแก่ผู้มาเยือน 4.ความปลอดภัย และการต้อนรับ ประเทศไทยได้รับการยอมรับด้านความปลอดภัย และวัฒนธรรมการต้อนรับที่เป็นมิตร นับเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสร้างความมั่นใจและความพึงพอใจให้แก่นักท่องเที่ยวระดับสูง
“แม้ว่าประเทศไทยจะมีศักยภาพในการดึงดูดนักท่องเที่ยวระดับสูง แต่ยังมีอีกหลายความท้าทายที่ต้องเผชิญ และมีปัจจัยบางประการที่อาจส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขัน”
ไม่ว่าจะเป็นปัจจัย “การแข่งขันจากประเทศอื่นๆ ที่มีชื่อเสียงด้านลักชัวรี” ประเทศที่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวระดับหรูอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น สิงคโปร์ ดูไบ และมัลดีฟส์ ต่างมีการโปรโมต และสร้างจุดขายที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวระดับสูงได้สำเร็จ โดยบางประเทศมีการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งในตลาดลักชัวรีมาอย่างยาวนาน ทำให้ประเทศไทยต้องแข่งขันกับประเทศเหล่านี้เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวระดับสูงที่มีกำลังซื้อ
“การพัฒนาสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการ” นักท่องเที่ยวระดับหรูมักมีความต้องการเฉพาะเจาะจง เช่น ความสะดวกสบายสูงสุด ความเป็นส่วนตัว หรือประสบการณ์ที่ไม่สามารถหาได้จากที่อื่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริการที่ตอบโจทย์กลุ่มนี้จำเป็นต้องมีการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง และให้ความสำคัญกับความเฉพาะเจาะจง
“ความหลากหลายของประสบการณ์” เช่น การท่องเที่ยวที่รวมทั้งความหรูหรา และความยั่งยืน (Sustainable Luxury) หรือกิจกรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างการท่องเที่ยวในพื้นที่ห่างไกลหรือทางทะเล หรือการเดินทางไปในสถานที่แบบ “Hidden Gems” มีเพชรเม็ดงามซ่อนอยู่
นอกจากนี้ “การสร้างประสบการณ์แบบพรีเมียม” บริการที่มีมาตรฐานสูง เช่น รถยนต์หรู และบริการส่วนตัว อาจยังมีจำนวนไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ขณะเดียวกัน “ปัญหาด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานท่องเที่ยว” การพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่ม หรือการสร้างสถานที่ ที่เหมาะสำหรับท่องเที่ยวหรู เช่น จุดท่องเที่ยวทางทะเลหรือที่พักระดับพรีเมียมที่สามารถตอบโจทย์นักท่องเที่ยวระดับสูงได้ยังคงต้องได้รับการพัฒนา
อีกโจทย์สำคัญคือ “ภาพลักษณ์ของประเทศไทย” ยังอาจถูกมองว่าเหมาะกับนักท่องเที่ยวที่มองหาความประหยัดหรือความบันเทิงมากกว่าการเน้นการบริการที่หรูหรา ซึ่งอาจทำให้การโปรโมตการท่องเที่ยวระดับหรูของไทยยังไม่ชัดเจนเท่าที่ควร!
สำหรับแผนการโปรโมตประเทศไทยด้านการท่องเที่ยวแบบลักชัวรี เมื่อเจาะเกี่ยวกับ “แผนระยะสั้น 1-3 ปี” ททท.มีแผนจัดกิจกรรมและงานระดับโลกเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวระดับสูง อาทิ การจัดเทศกาลดนตรีนานาชาติ การประชุมสัมมนาระดับนานาชาติ การแข่งขันกีฬาหรู เช่น การแข่งเรือยอช์ต การส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นสถานที่จัดงานแฟชั่นโชว์ นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นความร่วมมือกับแบรนด์หรูในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น แฟชั่น สปา และโรงแรมหรู เพื่อสร้างประสบการณ์ที่โดดเด่น และน่าประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยวระดับลักชัวรี
ส่วน “แผนระยะยาว 3-5 ปีขึ้นไป” มุ่งพัฒนาสินค้าทางการท่องเที่ยวที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวลักชัวรี เช่น การจัดทัวร์แบบส่วนตัว หรือการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) ที่มีรีสอร์ต และการให้บริการสปาแบบครบวงจร การส่งเสริมเส้นทางท่องเที่ยวใหม่ๆ เช่น การท่องเที่ยวเชิงศิลปะ (Art Tourism) หรือการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่ลึกซึ้ง
รวมถึงการขยายโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการท่องเที่ยวลักชัวรี เช่น การขยายสนามบิน การพัฒนาท่าเรือสำหรับเรือยอช์ต การพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยวระดับสูง การปรับปรุงบริการขนส่งสาธารณะหรือบริการรถเช่าหรูเพื่อความสะดวกสบายของนักท่องเที่ยว ทั้งนี้ต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วนด้วย
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์