โรงแรม ‘พัทยา’ ปี 68 แรงดีแซงยุคก่อนโควิด อัปราคาห้อง 5-10% ยอดไฮซีซันพุ่ง 85%

'สมาคมโรงแรมไทยภาคตะวันออก' ประเมินธุรกิจโรงแรมใน 'พัทยา' ช่วงไตรมาส 1 ปี 2568 มีแนวโน้มดี แต่ยังขึ้นกับปัจจัยเศรษฐกิจและการเมืองโลก โดยเฉพาะเมื่อ 'โดนัลด์ ทรัมป์' รีเทิร์น! เตรียมขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 ม.ค.
ทำให้ภาคธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรมต้องจับตาประเด็นร้อนต่างๆ อาทิ การปรับดอกเบี้ย ซึ่งส่งผลต่อปากท้องของประชาชนโดยตรง
มรกต กุลดิลก นายกสมาคมโรงแรมไทยภาคตะวันออก เล่าว่า นอกเหนือจากปัจจัยภายนอกประเทศแล้ว สมาคมฯ มองว่าถ้ารัฐบาลไทยสามารถดำเนิน “นโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว” ได้ดี ก็จะช่วยสร้างการเติบโตแก่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้อย่างต่อเนื่อง เพราะเมื่อดูดีมานด์การจองสินค้าท่องเที่ยวผ่านแพลตฟอร์มของบริษัทท่องเที่ยวออนไลน์ (OTA) ต่างๆ แล้ว พบว่ามียอดสูงขึ้นดีมาก
ประกอบกับมาตรการ “ยกเว้นวีซ่า” (วีซ่าฟรี) เริ่มเห็นผลชัดเจนว่าหลายตลาดเติบโตสูงกว่ายุคก่อนโควิดด้วยซ้ำ จึงอยากให้รัฐบาลเดินหน้ามาตรการวีซ่าฟรีต่อไป พร้อมสนับสนุนภาคธุรกิจท่องเที่ยวมีรายได้เพิ่มขึ้น ให้ผู้ประกอบการสามารถออก e-Tax หรือ e-Receipt ได้ หนุนรัฐบาลจัดเก็บภาษีได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้น
“ถ้าเป็นไปได้ อยากให้รัฐบาลคิกออฟโครงการ เราเที่ยวด้วยกัน ในช่วงหลังเทศกาลสงกรานต์ ดำเนินโครงการตั้งแต่เดือน พ.ค.-ก.ย. เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวช่วงโลว์ซีซัน แต่ถ้ารัฐบาลพิจารณาแล้วว่าอยากให้กระแสการเดินทางคึกคักตั้งแต่เดือน เม.ย. ครอบคลุมเทศกาลสงกรานต์ ก็อยากให้ประกาศเริ่มใช้สิทธิ์ได้ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. เป็นต้นไป”
ทั้งนี้ สมาคมฯ ประเมินแนวโน้มท่องเที่ยวของพัทยาตลอดปี 2568 ว่า ด้วยปัจจัย “ปริมาณเที่ยวบินระหว่างประเทศ” โดยเฉพาะเที่ยวบินเช่าเหมาลำ (ชาร์เตอร์ไฟลต์) เข้าพัทยามากขึ้น น่าจะหนุน “อัตราการเข้าพัก” ในพัทยาช่วง “ไฮซีซัน” ให้อยู่ที่ระดับ 80-85% ส่วนช่วงโลว์ซีซันคาดอยู่ที่ระดับ 50-60% แต่ถ้ารัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวในประเทศได้ดี ก็น่าจะเห็นตัวเลขเกิน 60%
ด้านภาพรวม “ราคาห้องพัก” ในพัทยาปีนี้ คาดว่าปรับราคาได้สูงขึ้นเฉลี่ย 5-10% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ยกเว้นบางโรงแรมที่มีผลการดำเนินงานดี สามารถปรับขึ้นราคาห้องพักได้ถึง 20%
“เราคาดว่าแนวโน้มโรงแรมในพัทยาปี 2568 จะเติบโตสูงกว่าปี 2562 ก่อนโควิดระบาด หลังจากปี 2567 โรงแรมในพัทยาสามารถขยายการเติบโตได้ดีมาก โดยเฉพาะโรงแรมหลายแห่งที่ปรับตัวรับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวยุคหลังโควิด เน้นทำตลาดกลุ่มเดินทางด้วยตัวเองที่นิยมจองผ่านช่องทางออนไลน์ สวนทางกับโรงแรมที่ยังเน้นรับตลาดกรุ๊ปทัวร์ เดินทางกลุ่มใหญ่ด้วยรถบัส ถ้ายังไม่ปรับตัว ก็จะทำตลาดได้ค่อนข้างยาก”
สำหรับนักท่องเที่ยวตลาด “ดาวรุ่ง” ในพัทยา ช่วงไฮซีซันยังคงเป็นตลาดรัสเซีย ส่วนโลว์ซีซันมีตลาดอินเดียที่เติบโตต่อเนื่อง ด้านตลาดระยะใกล้อื่นๆ เช่น เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ยังคงนิยมเดินทางมาเล่นกอล์ฟ ขณะที่ตลาดอาเซียน ทั้งเวียดนาม อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ยังคงเดินทางเข้าพัทยาดีต่อเนื่องเช่นกัน โดยในปี 2568 สมาคมฯ มีแผนรุกทำตลาดระยะใกล้ โดยเฉพาะตลาด “ท่องเที่ยวฮาลาล” ดึงนักท่องเที่ยวชาวมุสลิมเข้าพัทยามากขึ้น
และเมื่อดูคู่แข่งของพัทยาหรือประเทศไทยในหลายๆ ตลาด เช่น “นักท่องเที่ยวอินเดีย” จะพบว่า “จุดหมายปลายทางอันดับ 1” ที่ชาวอินเดียนิยมไปเที่ยวคือ “ดูไบ” สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยมีประเทศไทยรั้งอันดับ 2 กำลังเร่งทำตลาดไล่ตาม ทางสมาคมฯ จึงมองว่าอยากให้รัฐบาลดำเนินนโยบายวีซ่าฟรีแก่ตลาดอินเดียอย่างต่อเนื่อง พร้อมสนับสนุนการเปิดเส้นทางบินใหม่ เพิ่มเที่ยวบิน ด้วยราคาตั๋วเครื่องบินที่ดึงดูดการเดินทาง และรุกจัดกิจกรรมส่งตลาด ก็จะช่วยยืนระยะและสามารถแซงเป็นอันดับ 1 ได้ในอนาคต
“ส่วนตลาดนักท่องเที่ยวจีน ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจจีนในปัจจุบัน แม้จะมีชาวจีนท่องเที่ยวพัทยาฟื้นตัวดีขึ้น แต่ด้วยการโปรโมตให้ชาวจีนเที่ยวในประเทศมากขึ้น ทำให้ในเชิงจำนวนเดินทางมาเที่ยวพัทยา ยังไปไม่ถึงระดับเดิมเหมือนปี 2562”
มรกต เล่าเพิ่มเติมถึงภาพรวมการเข้าพักโรงแรมช่วง “เทศกาลปีใหม่ 2568” ใน “พัทยา” ถือว่าค่อนข้างดี มีอัตราการเข้าพักเกิน 80% เพราะมีนักท่องเที่ยวจากยุโรป เช่น รัสเซีย เยอรมนี และอังกฤษ เดินทางเข้ามาจำนวนมากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนโควิด ส่วนนักท่องเที่ยวเอเชียมีพฤติกรรมการท่องเที่ยวเปลี่ยนไป จากเน้นเชิงปริมาณ ก็เปลี่ยนเป็นเดินทางแบบกลุ่มเล็กแทน แต่ใช้จ่ายดี
ด้าน “ศรีราชา” และพื้นที่อื่นๆ ใน จ.ชลบุรี มีอัตราการเข้าพัก 70-80% ช่วงเทศกาลปีใหม่ โดยเฉพาะศรีราชาซึ่งมีดาราดังอย่าง “หมูเด้ง” ลูกฮิปโปแคระในสวนสัตว์เปิดเขาเขียวเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยว มีอัตราการเข้าพักดี 70-80% ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์อยู่แล้ว และเพิ่มเป็น 100% ช่วงเทศกาลปีใหม่