วิเคราะห์ 'จ๊อดแฟร์ แดนเนรมิต' ปิดตัวลงก่อนแผนเดิมที่วางไว้ 5 ปี

จ๊อดแฟร์ แดนเนรมิต ถึงเวลาต้องปิดให้บริการลงในช่วงต้นปี 2568 ภายหลังเปิดให้บริการมาเป็นเวลาประมาณ 1 ปีกับอีก 9 เดือน ท่ามกลางตลาดไนท์มาร์เก็ตที่เปลี่ยนแปลงไป การแข่งขันรุนแรงมากขึ้น รวมถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวค่างชาติที่กลับมาไม่เหมือนเดิม
กระแสข่าวการปิดตัวของ “จ๊อดแฟร์ แดนเนรมิต” หรือชื่อใหม่ "ตลาดนัดรถไฟ แดนเนรมิต : Train Night Market DanNeramit” ภายใต้การบริหารของ เจ้าพ่อไนท์มาร์เก็ตของประเทศไทยกับ “ไพโรจน์ ร้อยแก้ว” ผู้บริหารตลาดรถไฟและตลาดจ๊อดแฟร์ ภายหลังได้เปิดให้บริการ มาตั้งแต่วันที่ 28 เม.ย. 2566 เรียกว่า เปิดให้บริการมาเป็นระยะเวลา 1 ปี กับอีกประมาณ 9 เดือน
หากย้อนไปถึงแรงกระตุ้นในการเปิดสาขาในทำเลแห่งนี้ “เจ้าพ่อไนท์มาร์เก็ต” ได้ให้เหตุผลไว้ว่ามาจาก “ผลจากการเปิดจ๊อดแฟร์ พระราม 9 ได้รับการผลตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าคนไทยและต่างชาติ ทำให้มีความมั่นใจที่จะเปิดสาขาใหม่สู่การเปิด จ๊อดแฟร์ แดนเนรมิต” ถือเป็นพื้นที่ไนท์มาร์เก็ตขนาดใหญ่สุด มีขนาดรวมประมาณ 33 ไร่ ถือเป็นอีกหมุดหมายใจกลางเมือง ไม่ไกลจากศูนย์การค้าเซ็นทรัลลาดพร้าว
ต่อมาในช่วงวันที่ 18 มีนาคม 2567 จ๊อดแฟร์ แดนเนรมิต ได้ประกาศเปลี่ยนรูปภาพและชื่อเป็น “ตลาดนัดรถไฟ แดนเนรมิต : Train Night Market DanNeramit” ปรับเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มลูกค้า อีกทั้งได้เปลี่ยนเวลาเปิดให้บริการใหม่ โดยปรับเวลาเปิดให้บริการเป็น 4 วัน ตั้งแต่วันพฤหัสบดีจนถึงวันอาทิตย์ ในช่วงเวลา 17.00-24.00 น. รวมถึงเน้นสินค้าวินเทจและของสะสมต่างๆ จนถึงล่าสุด เดือน ม.ค.2568 สาขาทำเลแห่งนี้ได้ปิดตัวลง
สำหรับการปิดให้บริการในทำเลแดนเนรมิต ถือว่าเร็วกว่ากำหนดการเดิมระบุไว้ว่า เป็นการทำสัญญาเช่าพื้นที่กับเจ้าของที่ดินเป็นเวลาระยะเวลา 5 ปี แต่ผ่านไป 1 ปี 9 เดือน จึงปรับมาปิดให้บริการก่อนล่วงหน้า
ทั้งนี้เมื่อประเมินการปิดสาขาในทำเลแห่งนี้มาจากหลายปัจจัยประกอบกัน ทั้งจากการแข่งขันในตลาดไนท์มาร์เก็ตของไทยรุนแรงมากขึ้น มีหลายแห่งที่ปรับมาเปิดในรูปแบบไนท์มาร์เก็ต คือ การทำศูนย์อาหารดึงดูดลูกค้าคนไทยและต่างชาติมากขึ้น ประกอบกับภาพรวมเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภคคนไทยยังไม่กลับมาเท่าเดิม จึงมีผลต่อการใช้จ่ายของกลุ่มลูกค้า ที่เข้มข้นและวางแผนในการใช้จ่ายเงินมากขึ้น
อีกทั้งเมื่อประเมินจุดแข็งของ "จ๊อดแฟร์ แดนเนรมิต" ทำเลไพร์มโลเคชันใจกลางเมือง ลาดพร้าวและพหลโยธิน ซึ่งการเดินทางอยู่ไม่ไกลจากรถไฟฟ้าและมีร้านค้าดังจำนวนมากมาเปิดให้บริการ ซึ่งมีโอกาสอย่างมากที่จะดึงดูดกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ และการขยายร้านค้าเพิ่มมากขึ้น แต่อีกด้านแบรนด์มุ่งนำเสนอที่เป็นไนท์มาร์เก็ต คล้ายกับทำเล “พระราม9” ทำให้นักท่องเที่ยวที่คุ้นเคยกับทำเลเดิม พระราม 9 สนใจไปในทำเลเดิมที่นักท่องเที่ยวต่างประเทศรู้จัก และมีการแนะนำผ่านเพจต่างๆ จำนวนมาก จนเกิดกระแสไวรัลในทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศจีน ที่นักท่องเที่ยวชาวจีน ตามรอยเข้ามาท่องเที่ยวในทำเลแห่งนี้
แต่ในอีกด้าน เสียงของลูกค้าคนไทย (Social Listening ) ที่ได้เข้าไปใช้บริการในแดนเนรมิต สะท้อนในทิศทางเดียวกันว่า ราคาอาหารและสินค้าที่เปิดให้บริการอยู่อัตราค่อนข้างสูง โดยคนไทยส่วนใหญ่ยังคงระมัดระวังในการใช้จ่ายตามสถานการณ์ของเศรษฐกิจ รวมถึงภาวะเศรษฐกิจโลก และค่าเงินบาทมีผลต่อนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ใช้จ่ายในประเทศไทยไม่เหมือนเดิมเช่นกัน !
อย่างไรก็ตาม การปิดในจ๊อดแฟร์ แดนเนรมิต ในครั้งนี้แล้ว หากไปย้อนการบริหารไนท์มาร์เก็ตของเจ้าพ่อไนท์มาร์เก็ตของเมืองไทยได้เคยปิดสาขาที่ไม่ประสบความสำเร็จมาแล้วเช่นกัน ทั้ง “ตลาดนัดรถไฟเกษตร-นวมินทร์” รวมถึง “ตลาดนัดรถไฟรัชดา” ซึ่งในสาขาหลังประสบกับสถานการณ์โควิดจึงต้องปิดตัวลง ซึ่งการปิดตัวของแต่ละสาขา เมื่อพิจารณาอาจไปต่อไม่ไหวพร้อมปิดทันที เพราะไม่ได้ให้มุมมองธุรกิจเฉพาะบริษัทที่ต้องได้รับประโยชน์ แต่ให้น้ำหนักต่อผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจด้วยกันต้องอยู่รอดไปด้วยกัน
ซึ่งหากฝืนเปิดต่อไปและร้านค้ากระทบไม่ต้องการเปิดต่อ อีกทั้งเน้นการเก็บค่าเช่าที่ไม่แพง อย่างในช่วงที่ผ่านมา ได้เก็บค่าเช่าพื้นที่สำหรับผุ้ประกอบการมีทั้งแบบรายเดือนที่คิดค่าเช่าวันละ 500 บาท/ล็อก และรายปีล็อกละ 20,000 บาท/ปี เพราะ “หากร้านค้าสามารถอยู่ได้ เราก็จะอยู่ได้เช่นกัน”
วิเคราะห์สาเหตุที่ต้องปิด จ๊อดแฟร์ แดนเนรมิต
ทางด้าน “ธนินท์รัฐ ภักดีภิญโญ” ผู้เชี่ยวชาญธุรกิจค้าปลีก หรือเรียกว่า “อาจารย์ใหญ่” ผู้เชี่ยวชาญด้านค้าปลีกของไทย ร่วมถอดบทเรียน กรณีศึกษาการปิด "จ๊อดแฟร์ แดนเนรมิต" ในครั้งนี้ว่า มาจากหลายปัจจัยประกอบกันทั้ง
- ทำเลที่ตั้ง (Location) พระราม 9 มีความหนาแน่นของประชากรมากกว่าแดนเนรมิต ที่เป็นย่านมีอาคารพาณิชย์ สำนักงาน ที่พักอาศัย และที่สำคัญมีศูนย์การค้าขนาดใหญ่
- พื้นที่ฐานลูกค้าโดยรอบ (Catchment area) แตกต่างโดยสิ้นเชิง ซึ่งในย่าน พระราม 9 มีลูกค้าทุกกลุ่ม ต่างชาติในแทบทุกชาติ จึงเกิดแรงซื้อมหาศาล
- พฤติกรรมของกลุ่มลูกค้าในแต่ละทำเลแตกต่างกัน โดยในแดนเนรมิต ที่มีลูกค้าในพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นคนไทย และไม่ค่อยต่างชาติมาใช้บริการ ดังนั้นกำลังซื้อในพื้นที่จึงแตกต่างจากย่านพระราม 9 พอสมควร
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการปิดสาขา แดนเนรมิตไปแล้ว ยังมีทำเลหลักกับ ตลาดนัดรถไฟศรีนครินทร์ หรือตลาดวินเทจ เปิดมากว่า 12 ปีแล้ว, จ๊อดแฟร์ พระราม 9 ได้สัญญาเช่าพื้นที่จาก บริษัท แกรนด์ คาแนล แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ จีแลนด์ (GLAND) โดยตามสัญญาการเช่าพื้นที่ ในเฟสแรก เปิดจนถึง 31 ธ.ค.2567 ซึ่งร้านค้าบางส่วนมีการย้ายไปอยู่ในทำเลคือ จ๊อดแฟร์ รัชดา แห่งใหม่ ส่วนเฟสสองพระราม 9 ยังเปิดตามปกติ
จ๊อดแฟร์ รัชดา เร่งแผนดึงทัวริสต์
สำหรับสาขาใหม่ที่ได้เปิดอย่างเป็นทางการกับ จ๊อดแฟร์ รัชดา (JODD FAIRS : Ratchada) เป็นการลงทุนครั้งใหญ่ ของเจ้าพ่อไนท์มาร์เก็ต โดยวางรูปแบบจัดทำพื้นที่กลางแจ้งที่เป็น ไนท์มาร์เก็ต ประมาณ 5.6 ไร่ ร่วมดึงร้านค้าเข้ามา 798 ร้านค้า รวมถึงได้ออกแบบทำพื้นที่อินดอร์ อาคารขนาด 25,000 ตร.ม. จำนวน 3 ชั้นด้วย สำหรับโครงการมีพื้นที่อยู่บริเวณริมถนนรัชดาภิเษก ติด MRT ศูนย์วัฒนธรรม ถือเป็นจุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินและสายสีส้ม บริษัทได้ทำสัญญาเช่าพื้นที่ 20 ปี จาก บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน)
อีกทั้ง จ๊อดแฟร์ รัชดา (JODD FAIRS : Ratchada) กำลังเร่งแผนการตลาดเพื่อดึงดูดลูกค้าและนักท่องเที่ยวทั่วโลก ให้เข้ามาเช็กอิน!ได้จัดงานเฉลิมฉลองการเปิดสาขาใหม่อย่างเป็นทางการตั้งแต่ 31 ม.ค.ที่ผ่านมาแล้ว โดยเจ้าพ่อไนท์มาร์เก็ต เคยให้มุมมองไว้ว่า "อยากทำไนท์มาร์เก็ตของไทย เพื่อให้เป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของทุกคนในทั่วโลกให้เข้ามาเยือน"