ตลาดแอร์ปี 68 ร้อนไม่เท่าเดิม โต 6% แอลจี ชิงมาร์เก็ตแชร์สู่ที่ 5

ตลาดแอร์ปี 2568 โต 6% มูลค่า 3.45 หมื่นล้าน ตามสภาพอากาศร้อนไม่เท่าปีก่อน แต่มีโอกาสโตได้อีก จากอัตราการครอบครองแอร์ของคนไทยอยู่ที่ 43-44% แอลจี เร่งแผนสู่แบรนด์ท็อป 5
สมรภูมิเครื่องปรับอากาศของประเทศไทย เป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ถึง 3.45 หมื่นล้านบาท โดยมีการแข่งขันที่รุนแรงจากหลากหลายแบรนด์ ต่างใช้ไทยเป็นฐานการผลิตและส่งออกไปสู่ตลาดโลก โดยเทรนด์ในปีนี้เห็นค่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ต่างๆ ที่มีการเปิดตัวสู่ตลาดคือ มุ่งเทคโนโลยีเอไอ การเน้นเรื่องประหยัดไฟ และสามารถร่วมฟอกอากาศ ซึ่งแบรนด์ผู้นำตลาดในปัจจุบันจะเป็นแบรนด์จากประเทศญี่ปุ่น ตามมาด้วยจีน
สำหรับแอลจี แบรนด์ใหญ่จากเกาหลีใต้ ที่มีมาร์เก็ตแชร์อันดับหนึ่งในตลาดเครื่องซักผ้าในไทยมายาวนานกว่า 20 ปีแล้ว ได้ประกาศแผนรุกตลาดในปี 2568 กับเครื่องปรับอากาศ เพื่อมุ่งเป้าหมายสู่แบรนด์ที่มีส่วนแบ่งการตลาดลำดับที่ 5 ในไทย โดยแอลจีมีโรงงานผลิตเครื่องปรับอากาศในไทยเช่นกัน
นายอำนาจ สิงหจันทร์ หัวหน้าฝ่ายการตลาด บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) ฉายภาพรวมตลาดเครื่องปรับอากาศในปี 2568 จะมีการขยายตัว 6% หรือมีมูลค่ารวมประมาณ 3.45 หมื่นล้านบาท ซึ่งมีความแตกต่างจากปีก่อนหน้านี้ ที่ตลาดรวมเครื่องปรับอากาศมีการขยายตัวสูงถึง 14% ด้วยมูลค่าประมาณ 3.26 หมื่นล้านบาท เป็นผลมาจากสภาพอากาศในปีนี้ที่ร้อนช้า และฤดูหนาวยาวนานมาจนถึงกลางเดือน ก.พ. แตกต่างจากในปีก่อนฤดูร้อนเริ่มต้นตั้งแต่ต้นเดือน ก.พ.แล้ว
สำหรับภาพรวมเครื่องปรับอากาศ แบ่งเป็น ตลาดเป็นระบบอินเวอร์เตอร์ และ 20% เป็นระบบธรรมดา 80% โดยท่ามกลางสภาพอากาศที่ร้อนช้ากว่าปกติ ทำให้ภาพรวมตลาดมีการแข่งขันที่มากขึ้น และหลายแบรนด์เน้นแข่งขันทางด้านราคาสูงขึ้น ซึ่งนโยบายของแอลจีไม่ได้เน้นแข่งขันในด้านนี้
ตลาดแอร์ไทยไปได้อีก จากอัตราการครอบครองแอร์มีสัดส่วน 43-44%
ทั้งนี้ภาพรวมตลาดเครื่องปรับอากาศที่มีการแข่งขันรุนแรง แต่อีกด้านได้รับผลบวกจากอัตราการครอบครองสินค้าเครื่องปรับอากาศของคนในประเทศ โดยเฉพาะตลาดต่างจังหวัด ยังมีโอกาสขยายได้อีกมาก ซึ่งภาพรวม "อัตราการครอบครองเครื่องปรับอากาศอยู่ที่ 43-44%" และตลาดต่างจังหวัดมีความต้องการเครื่องปรับอากาศที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ประมาณ 1.8 หมื่นบีทียู
อีกทั้งได้รับแรงหนุนจากตลาดที่พักอาศัย และการเปลี่ยนมาใช้เครื่องปรับอากาศรุ่นใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่เครื่องปรับอากาศมีอายุการใช้งานยาวนานประมาณ 8 ปี
แอลจี เร่งแผนขยายตลาด เพิ่มส่วนแบ่งสู่ท็อป 5
สำหรับแผนของแอลจีในปี 2568 ได้ใช้งบการตลาดสูงถึง 100 ล้านบาท ขยายตลาดเครื่องปรับอากาศ โดยเตรียมนำเสนอสินค้ารุ่นใหม่เข้ามาทำตลาดทั้งหมด 7 ซีรีย์ และมี 3 ซีรีย์ใหม่กับ LG DUALCOOL™ AI Air เน้นเทคโนโลยีเอไอ การร่วมประหยัดไฟ และมีระบบทำความเย็นที่รวดเร็ว รวมถึงการมีระบบฟอกอากาศ ในการช่วยป้องกันฝุ่น PM 2.5 ร่วมตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
พร้อมมุ่งทำตลาดผ่านออนไลน์และออฟไลน์ รวมถึงจัดทำป้ายบิลบอร์ดขนาดใหญ่ครั้งแรก ทั้งใน กทม. และต่างจังหวัดรวมประมาณ 10 จุด เพื่อร่วมตอกย้ำแบรนด์สู่กลุ่มเป้าหมาย
อีกทั้งได้เปิดตัวแบรนด์แอมบาสเดอร์เครื่องปรับอากาศกับ “เจฟ ซาเตอร์” นักร้องและนักแสดงยอดนิยม มาร่วมขยายฐานกลุ่มเป้าหมายไปสู่คนรุ่นใหม่
นอกจากนี้ทางด้านโครงสร้างองค์กร ได้มีการปรับโครงสร้างฝ่ายขายใหม่ และให้มีผู้บริหารมาดูแลเครื่องปรับอากาศโดยเฉพาะ เพื่อเร่งแผนเพิ่มยอดขาย โดยในปัจจุบัน บริษัทมีจุดจำหน่ายทั่วประเทศกว่า 900 จุด
ทั้งนี้ประเมินว่าจากแผนการตลาดที่วางไว้ จะทำให้แอลจี สามารถก้าวเข้าสู่แบรนด์อันดับห้าในตลาดเครื่องปรับอากาศของไทยภายในปี 2568 ด้วยส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 8% ในด้านมูลค่า จากปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 5-6%
ทางด้านจำนวนเครื่องในปีนี้คาดว่าจะขายได้ 1.54 แสนเครื่อง เพิ่มขึ้นจากปีก่อน สร้างยอดขายได้ 1.18 แสนเครื่อง ส่วนยอดขายรวมคาดว่าจะอยู่ที่ 2,300 ล้านบาทในปีนี้ เพิ่มจากปีก่อน สร้างยอดขายรวมได้ 1,600 ล้านบาท
ทางด้าน “ซองฮัน จอง” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า แอลจีพร้อมรุกตลาดเครื่องปรับอากาศในประเทศไทยปี 2568 ด้วยการนำเสนอสินค้ารุ่นใหม่และสินค้าที่มีนวัตกรรมเข้ามาขยายตลาดในประเทศไทย พร้อมเดินหน้าเร่งแผนทำการตลาด เพื่อผลักดันทำให้ยอดขายขยายตัวต่อเนื่อง