‘The Rolling Pinn’ ขาย ‘ช็อกโกแลตดูไบ’ เดือนละ 4 หมื่นชิ้น รายได้โต 300% ฝันไปต่างประเทศ

เจ้าแม่ช็อกโกแลตดูไบเมืองไทย! คุยกับ “พิณ เจนวัฒนวิทย์” เจ้าของแบรนด์ “The Rolling Pinn” โด่งดังจากเค้กกลิตเตอร์-ช็อกโกแลตดูไบ-ช็อกโกเจมส์ ฝึกทำขนมมา 18 ปี จนมีหน้าร้านเป็นของตัวเอง ตั้งเป้าปีนี้โตขึ้นสองเท่า วางเป้าขยายไปต่างประเทศเร็วๆ นี้
KEY
POINTS
- รู้หรือไม่ คนแรกที่จุดกระแส “ช็อกโกแลตดูไบ” ในไทย คือ “The Rolling Pinn” ร้านขนมสุดเซ็กซี่แห่งยุค กระทั่งโด่งดังถึงข
คงไม่เกินจริงนักหากจะบอกว่า “ช็อกโกแลตดูไบ” คือหนึ่งในเมนูยอดฮิตแห่งปี 2567 เพราะไม่ว่าจะเป็นร้านขนมหวานขึ้นห้างหรือแม้แต่แผงขายเบเกอรีตามท้องตลาด เมนูช็อกโกแลตสอดไส้พิสตาชิโอก็ยังได้รับการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง ในระดับโลก “ช็อกโกแลตดูไบ” เป็นไวรัลครั้งแรกจากคอนเทนต์ในแอแพลิเคชัน TikTok ส่วนในไทยก็พบว่า ร้านแรกๆ ที่รับเอากระแสดังกล่าวมาต่อยอดจนขายดีสุดเพดานการผลิตก็คือ “The Rolling Pinn” แบรนด์ที่ถูกยกให้เป็นร้านขนมหวานสุดเซ็กซี่ที่สุดในห้วงเวลานี้
ไม่ใช่แค่กระแสช็อกโกแลตดูไบเท่านั้น แต่ “The Rolling Pinn” ของ “พิณ เจนวัฒนวิทย์” เคยสร้างปรากฏการณ์มาแล้วจาก “Glitter Queen Cake” เค้กกลิตเตอร์ฟุ้งกระจายที่มียอดผู้เข้าชมคอนเทนต์ดังกล่าวมากกว่า 36 ล้านวิว และเร็วๆ นี้กับเมนู “Choco Gems” ช็อกโกแลตเคลือบเบอร์รี่ที่เจ้าตัวบอกกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า กำลังการผลิตตอนนี้อยู่ที่ 12,000 ชิ้นต่อวัน ทำได้มากสุดวันละ 1,000 กล่อง และแน่นอนว่า ขายหมดเกลี้ยงแทบทุกวันด้วย
ฝึกทำขนมตั้งแต่ 11 ขวบจากหนังสือสามเล่ม มี “พี่เมย์ After You” เป็นไอดอล
จุดเริ่มต้นแรกสุดที่นำพา “พิณ” เข้าสู่วงการเบเกอรีมาจากความชอบส่วนตัวตั้งแต่เด็กๆ เธอเล่าว่า ครั้งแรกที่เริ่มฝึกทำขนมตอนนั้นอายุราวๆ 11 ปีเท่านั้น เหตุเกิดเมื่อครั้งที่เธอมีโอกาสเดินช้อปปิ้งกับครอบครัวแล้วเหลือบไปเห็นหนังสือสอนทำขนมของ “เมย์-กุลพัชร์ กนกวัฒนาวรรณ” หรือ “เมย์ After You” เจ้าของร้านขนมหวานชื่อดัง เด็กหญิงพิณขอซื้อทั้งหมด 3 เล่มในคราวเดียว โดยให้คำมั่นกับครอบครัวว่า เธอจะใช้เวลาว่างฝึกทำขนมให้ครบทุกสูตรทั้ง 3 เล่มที่ซื้อมา
จากวันที่มี “พี่เมย์” เป็นไอดอล “พิณ” ฝันมาตลอดว่า วันหนึ่งหากได้เปิดร้านขนมเป็นของตัวเองบ้างก็คงจะดีไม่น้อย และฝันใหญ่ที่วางไว้ตั้งแต่เด็กๆ คือการมีร้านขนมเปิดที่ต่างประเทศด้วย จนกระทั่งเมื่อ 6 ปีที่แล้ว “The Rolling Pinn” ก็ถือกำเนิดขึ้น เริ่มจากการเปิดร้านบนแพลตฟอร์มออนไลน์ก่อน โดยเมนูแรกสุดที่ทำขายคือคุกกี้และเค้ก
ร้านของ “พิณ” โดดเด่นในเรื่อง “เค้กด่วน” หมายถึงเค้กที่สามารถส่งด่วนได้ทันทีแบบ “Sameday” โดยทางร้านจะมีการสต๊อกวันต่อวัน แต่ละวันจะมีแบบพร้อมส่งให้ลูกค้าเลือกแตกต่างกันไป สามารถจัดส่งได้ทันทีภายใน 3 ชั่วโมง และหลังจากนั้น “The Rolling Pinn” ก็ถูกพูดถึงเป็นไวรัลไปถึงต่างแดนจากคลิปวิดีโอ “Glitter Queen Cake” เค้กกลิตเตอร์ฟุ้งกระจายที่มีชาวต่างชาติให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะฝั่งสหรัฐ รัสเซีย ดูไบ
กระแส “Glitter Queen Cake” ถูกต่อยอดความไวรัลมากขึ้นไปอีก จากเมนู “ช็อกโกแลตดูไบ” ที่ครั้งนี้พิณบอกว่า ทำให้ร้านของเธอได้รับทั้งกระแสและยอดสั่งซื้อช็อกโกแลตแบบถล่มทลาย จนสามารถพูดได้ว่า “The Rolling Pinn” คือร้านขนมหวานในไทยเจ้าแรกที่รังสรรค์เมนูนี้ออกมา โดยหลังจากนั้นช็อกโกแลตดูไบก็ได้รับการตอบรับที่ดี จนมีร้านเล็กร้านใหญ่ออกเมนูดังกล่าวเพิ่มขึ้นทั่วตลาด
ปั้น “ช็อกโกแลตดูไบ” วันละ 1,500 ชิ้น ต้องกินโชว์-มีเสียงกรุบกรอบ ลูกค้าจะอยากซื้อ
เค้กกลิตเตอร์สร้างชื่อเสียงให้ร้านในกลุ่มต่างชาติมากกว่าคนไทย แต่สำหรับ “ช็อกโกแลตดูไบ” เธอบอกว่า เมนูนี้แหละที่ทำให้ “The Rolling Pinn” ถูกพูดถึง และมียอดขายโตกระฉูดมากที่สุด สูตรโตที่ทำให้เมนูช็อกโกแลตได้รับความสนใจ “พิณ” มองว่า มาจากรูปแบบการนำเสนอ ต้องคิดว่า จะทำอย่างไรให้คนที่เลื่อนฟีดบนหน้าจอสัมผัสถึงความอร่อยได้
“Unique Selling Point” ที่เธอเห็นจากเมนูคือวิธีการกิน คอนเทนต์ช็อกโกแลตดูไบจึงนำเสนอรูปแบบการกิน หักช็อกโกแลตให้เห็นไส้พิสตาชิโอเยิ้มๆ ด้านใน ให้คนสงสัยว่า ไส้ขนมด้านในทำมาจากอะไร จากนั้นก็ต้องกินให้มีเสียงกรุบกรอบ ให้มีความน่าสนใจมากกว่าช็อกโกแลตแบบอื่นๆ
เธอบอกว่า ช่วงที่พีคสุดๆ เคยขายได้มากถึง 1,500 ชิ้นต่อวัน กินเวลาเช่นนั้นยาวนานถึง 3 เดือน วันแรกทำอยู่ 80 ชิ้น แต่ปรากฏว่า หมดเกลี้ยงภายใน 1 นาที จากนั้นจึงขยายกำลังการผลิตเป็น 500 ชิ้น 800 ชิ้น 1,000 ชิ้น 1,200 ชิ้น และเต็มอัตราที่ 1,500 ชิ้นต่อวัน ในช่วงนั้นความท้าทายไม่ใช่แค่การผลิตให้รองรับกับปริมาณความต้องการของลูกค้า แต่ยังเป็นเรื่องวัตถุดิบที่มีราคาสูงและหายาก โดยเฉพาะช็อกโกแลตที่อยู่ในช่วงขาดแคลน
แต่ด้วย “Economy of Scale” ที่เพิ่มขึ้น ทุกวันนี้ร้าน “The Rolling Pinn” ซื้อช็อกโกแลตเป็นหน่วยตันแทนกิโลกรัมไปแล้ว โดยซัพพลายเออร์ที่ร้านยังคงผูกปิ่นโตมาจนถึงปัจจุบัน ได้แก่ “Valrhona Chocolate” ช็อกโกแลตพรีเมียมจากฝรั่งเศสนั่นเอง
ถัดจาก “ช็อกโกแลตดูไบ” ตอนนี้ร้านสร้างปรากฏการณ์อีกครั้งจาก “Choco Gems” โดย “พิณ” บอกว่า เธอไปเจอเมนูนี้ครั้งแรกที่ดูไบ มีโอกาสซื้อกลับมากินต่อที่ไทยแล้วเกิดติดใจมาก จึงคิดว่า ต้องนำมาพัฒนาต่อที่ร้านให้ได้ ใช้เวลาหลังจากนั้นเพียง 1 เดือน กระบวนการ R&D ก็แล้วเสร็จ ทันทีที่วางขาย “Choco Gems” ก็ได้รับการตอบรับที่ดีทันที ปัจจุบันกำลังการผลิตเมนูนี้ได้สูงสุดวันละ 12,000 ชิ้น หากคิดเป็นจำนวนกล่องจะอยู่ที่ราวๆ 1,000 ต่อวัน
ทุกวันนี้ขนมทุกชิ้นทุกเมนูของร้าน “The Rolling Pinn” ยังเป็นการผลิตเองแบบไม่ใช้ระบบสายพาน เธอบอกว่า ความยากของ Choco Gems คือต้องนำเบอร์รี่จุ่มช็อกโกแลตสองรอบ และต้องเคาะช็อกโกแลตออกเพื่อไม่ให้มีความหนามากจนเกินไป ทำให้กำลังการผลิตค่อนข้างจำกัด แม้สินค้าจะเป็นที่ต้องการมากแค่ไหนก็ตาม
รายได้พุ่ง 300% ปีนี้อยากโตอีกสองเท่า เปิดร้านใหม่ 3 สาขา
ความสำเร็จของบรรดา “Hero Product” ในปีที่ผ่านมา ทำให้รายได้ของ “The Rolling Pinn” เติบโตขึ้นจากปีก่อนหน้ามากกว่า 300% เกินจากที่ตั้งเป้าไว้พอสมควร โดยในปีนี้ก็อยากโตขึ้นจากเดิมสองเท่า ช่องทางการขายยังคงเน้นออนไลน์เป็นหลัก ยอมรับว่า การเปิดหน้าร้าน 4 สาขามีความท้าทายมากกว่าการขายในช่องทางออนไลน์พอสมควร โดยเฉพาะการจัดเก็บสินค้าอย่าง “Choco Gems” ที่ต้องเก็บในฟรีซเท่านั้น
ปัจจุบัน “The Rolling Pinn” มีหน้าร้าน 4 แห่ง ได้แก่ สยามพารากอน เอ็มควอเทียร์ เซ็นทรัลชิดลม และเซ็นทรัลบางนา ปีนี้ตั้งใจเปิดเพิ่มอีก 3 แห่ง รวมถึงแผนไปต่างประเทศก็ยังทดไว้ในใจด้วย “พิณ” บอกว่า ประเทศที่อยากไปมากที่สุด คือ “ดูไบ” เป็นความชอบส่วนตัวที่มองว่า บรรยากาศของประเทศเข้ากันกับคอนเซปต์แบรนด์ The Rolling Pinn รวมถึงไลฟ์สไตล์ที่คนดูไบชอบกินของหวานมาก อีกทั้งยังมีกำลังซื้อที่น่าสนใจด้วย
เจ้าของแบรนด์ขนมแห่งยุคทิ้งท้ายว่า จะทำให้เกิดการซื้อซ้ำมีลูกค้าประจำได้ต้องสร้างแบรนดิ้งให้แข็งแรง สำหรับ “The Rolling Pinn” เธอต้องการ Empower ผู้หญิงทุกคนผ่านขนม เพราะช่วงแรกที่เริ่มปั้นแบรนด์ตนเป็นคนขี้อายมาก แต่พอทำขนมไปเรื่อยๆ ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนโดยมีขนมเป็นสื่อกลางทำให้มีความมั่นใจเพิ่มขึ้น จึงอยากให้แบรนด์ The Rolling Pinn ช่วยเติมเต็มสิ่งนั้นให้กับทุกคนด้วย