‘Oh! Juice’ ราคาแรง เพราะใช้ของดีทำให้กิน ยังขายดีวันละ 500 แก้ว ปีนี้เปิดเพิ่มอีก 10 แห่ง

ปีนี้เปิดอีก 10 แห่ง! “อู๋-ชลากร” เผย “โอ้กะจู๋” โตไม่มีหยุด เจอดราม่าเยอะก็ไม่ถอดใจ ทำงานต่อไปไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เชื่อ “Oh! Juice” ยังไม่มีคู่แข่ง ขายดีวันละ 500 แก้ว/วัน/สาขา ดึง “ชมพู่-อารยา” ออกแบบเมนูได้ผลดี เฉพาะเดือนแรกขายไปได้ 40,000 แก้ว
ตลอดปี 2567 ที่ผ่านมา เครือ OKJ หรือ “โอ้กะจู๋” ร้านสลัดออร์แกนิกที่เกิด และเติบโตจากจังหวัดเชียงใหม่ สร้างปรากฏการณ์คิวล้นอีกครั้งจากการเปิดแบรนด์ลูกใหม่ล่าสุดอย่าง “Oh! Juice” แบรนด์ที่เกิดจากการต่อยอดเมนูสมูทตี้ดั้งเดิมของโอ้กะจู๋ บวกกับเทรนด์สมูทตี้หลากสีที่กำลังได้รับความนิยมทางฝั่งสหรัฐมาผสมผสานกัน โดยปัจจุบันร้านในเครือโอ้กะจู๋แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ โอ้กะจู๋ 41 สาขา โอ้กะจู๋ “Wrap & Roll” 1 สาขา และ “Oh! Juice” 17 สาขา
สำหรับภาพรวมทั้งเครือ “อู๋-ชลากร เอกชัยพัฒนกุล” หนึ่งในผู้ก่อตั้งร้านโอ้กะจู๋บอกว่า ตอนนี้รายได้ของแต่ละสาขายังมีการเติบโตดีขึ้นเรื่อยๆ เป้าในการขยายวางไว้กว้างๆ อยู่แล้ว หากเป็น “โอ้กะจู๋” วางแผนเปิดเพิ่ม 5-8 สาขาต่อปี แต่ก็ขึ้นอยู่กับโลเคชันด้วย บางครั้งอาจไม่เป็นไปตามเป้าจากเงื่อนไขของฝั่งแลนด์ลอร์ด สัดส่วนที่จะเปิดแบ่งออกเป็นกรุงเทพฯ 60% และต่างจังหวัด 40%
ฝั่ง “Wrap & Roll” ที่ยังมีเพียงสาขาเดียว “ชลากร” ยืนยันว่า ไม่ได้ทิ้งและไม่มีแผนปิดร้านแต่อย่างใด ตอนนี้มีการพูดคุยเรื่องโลเคชันกับหลายๆ แห่ง ทั้งตึกออฟฟิศสำนักงาน และการเข้าไปเปิดในโรงพยาบาล มองว่า อย่างไรเมนูแรกก็ยังมีโอกาสไปต่อได้ แต่อาจจะต้องปรับปรุงพัฒนาให้เข้ากับความชอบของคนไทยมากขึ้น รวมถึงขนาดของตัวโปรดักต์ที่มีลูกค้าฟีดแบ็กมาบ้างประปราย
แต่ที่ดูจะมาแรงแซงแบรนด์อื่นในเครือ ก็คือ “Oh! Juice” เพิ่งเปิดสาขาที่ 17 ไปหมาดๆ ทั้งที่ตัวแบรนด์เพิ่งจะได้ฤกษ์ตัดริบบิ้นเมื่อช่วงกลางปี 2567 ที่ผ่านมา “ชลากร” บอกว่า คอนเซปต์ของ Oh! Juice ถูกกรอบขึ้นภายใต้ความยั่งยืนที่ต้องการให้ผู้บริโภคซื้อกินได้ทุกวัน รสชาติหวานน้อย ใช้ผลไม้สดทุกวัน สำหรับราคาที่อาจจะถูกมองว่า สูงเกินไป “ชลากร” บอกว่า เป็นเพราะต้นทุนวัตถุดิบที่ใช้ของพรีเมียมทำให้กิน ไม่ว่าจะเป็นผลไม้สด โคโค่นัทครีม นมอัลมอนด์ หรือแม้แต่ผงสาหร่ายสไปรูลิน่าเองก็ตาม
“เราเชื่อว่า สิ่งที่ส่งต่อให้ลูกค้า ประสบการณ์ที่เข้ามาแล้วได้รับกลับไป เชื่อว่า สิ่งนี้แหละคือ จุดแข็ง ความออร์แกนิก รสชาติ วาไรตี้ ถ้าเราทำอาหารเพื่อสุขภาพให้อร่อยได้ ทำให้หลากหลายได้ รสชาติทำถึง ผมเชื่อว่ามันก็ตอบโจทย์ พอเป็นเรื่องของอาหารมันคือ Daily Product แต่ถึงจุดหนึ่งก็ต้องหาอะไรมาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สังเกตว่า เราจะมีเมนูใหม่เรื่อยๆ ทุก 2 เดือน ออก NPD (New Product Development) ครั้งหนึ่ง อันนี้แค่ในส่วนเมนูอาหาร ขณะเดียวกันเราก็มี Consumer Product เข้ามาเพิ่ม เพื่อไม่ให้ผู้บริโภครู้สึกเบื่อ”
ชลากร บอกว่า ทุกวันนี้ยอดขายน้ำปั่นร้าน “Oh! Juice!” เฉลี่ยอยู่ที่ 500 แก้ว/วัน/สาขาเหมือนเดิม แต่สัดส่วนซิกเนเจอร์กับคลาสสิกอาจจะลดหลั่นกันไป ช่วงแรกคนสั่งเมนูซิกเนเจอร์เยอะเพราะอยากลอง แต่พอเวลาผ่านไปก็หันมาสั่งเมนูคลาสสิกที่กินได้ทุกวันมากขึ้น ประกอบกับช่วงที่ผ่านมาแบรนด์ได้ดึงแฟชั่นไอคอนิกอย่าง “ชมพู่-อารยา เอ ฮาร์เก็ต” นั่งแท่น “Brand Admirer” ด้วย ปรากฏว่า “Material Girl Smoothie” เมนูพิเศษที่ดาราสาวร่วมรังสรรค์ขายดีทะลุ 40,000 แก้วภายในเดือนเดียวเท่านั้น
เมื่อถามว่า คิดเห็นอย่างไรที่แบรนด์ในเครือโดยเฉพาะ “Oh! Juice” ถูกเน้นย้ำประเด็นเรื่องราคาสินค้าอยู่บ่อยๆ เจ้าของร้านระบุว่า การตั้งราคาทุกเมนูอ้างอิงจากต้นทุนเป็นหลัก ไม่ได้เป็นการตั้งราคาตามใจฉันว่า อยากขายเท่านี้เลยตั้งราคาเท่านี้ เพราะอย่างที่เน้นย้ำมาโดยตลอดว่า วัตถุดิบที่ใช้ในการทำสมูทตี้มีราคาค่อนข้างสูง เป็นของคุณภาพดีทั้งหมด เชื่อว่า ในตลาดตอนนี้ยังไม่มีใครเป็นคู่แข่งโดยตรง แม้จะมีเมนูหมวดคลาสสิกที่มีราคาใกล้เคียงกัน แต่ภาพรวมของ “Oh! Juice” ยังมีเมนูพรีเมียมให้เลือกมากกว่าอยู่ดี
สำหรับตัว “Wrap & Roll” ที่เคยมีประเด็นดราม่าร้อนแรงบนโลกโซเชียล “ชลากร” บอกว่า ตนรับทราบและได้เก็บฟีดแบ็กมาพัฒนาให้ดีขึ้นกว่าเดิมแล้ว ซึ่งก็พบว่า หลังจากปรับปรุงก็มีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดีขึ้น เพิ่มกระบวนการตรวจสอบอย่างเข้มงวดเข้าไป ทำอย่างไรให้เจอสิ่งแปลกปลอมน้อยที่สุด เขาเสริมว่า ด้วยความที่ฟาร์มผักโอ้กะจู๋เป็นออแกนิก ไม่มีการพ่นยาฆ่าแมลง ซึ่งเป็นข้อจำกัดของการทำฟาร์มแบบวิถีอินทรีย์ หลังจากนี้ก็จะพยายามทำสุดความสามารถเพื่อให้ออกมาได้ดีที่สุด
ทั้งนี้ ในอนาคต “ชลากร” ยังอยากโตแบบ “Double Digits” แต่ก็คาดการณ์ค่อนข้างยาก เพราะมีหลายปัจจัยที่ยากจะควบคุมได้ ทั้งเรื่องของภาวะเศรษฐกิจในประเทศ ขาลงของตลาดหุ้น และการเมืองระดับโลกที่มีผลกับการเติบโตไม่มากก็น้อย
“ความรู้สึกในการเข้าตลาดเราคิดว่า ยังไปต่อได้ ไม่ได้รู้สึกว่าโดนรับน้องจากนักลงทุนไทย เพราะจะเกิดอะไรขึ้นเราก็ยังทำงานเหมือนเดิม เรารับมือดราม่าด้วยข้อเท็จจริง เราเติบโตแบบก้าวกระโดด โตไว ส่วนหลังบ้านก็พยายามจะไล่ตามการเติบโตนี้ให้ทัน ซึ่งมันก็ต้องใช้ทุนทรัพย์ในการพัฒนาด้วย พอเข้าตลาดแล้วก็นำเงินลงทุนเหล่านี้มาสร้างครัวกลางใหม่ พัฒนาหลังบ้านให้ดีขึ้น”
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์