สมาคมโรงแรมไทย เสนอรัฐลงทุน Entertainment Complex ในจังหวัดรอง

สมาคมโรงแรมไทย กังวล เอนเทอร์เมนต์คอมเพล็กซ์ รายละเอียดข้อกฎหมายไม่ชัด เสนอลงทุนในพื้นที่แห่งใหม่ใกล้กับ กทม. ไม่ควรเลือก 5 จังหวัดท่องเที่ยวหลัก
กรุงเทพธุรกิจได้จัดเสวนา “Entertainment Complex: Game Changer for Thailand?” โดย นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) กล่าวว่า ในมุมมองภาคธุรกิจโรงแรมต่อ โครงการลงทุนขนาดใหญ่ เอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ยังไม่มีความชัดเจนหลายด้าน และมีการเปลี่ยนแปลงหลายข้อ ทั้งพื้นที่การลงทุนพัฒนาโครงการมีการประเมินว่าอาจอยู่ในจังหวัดหลักของการท่องเที่ยวประเทศไทย ได้แก่ กทม. จำนวน 2 แห่ง ภูเก็ต เชียงใหม่และพัทยา แต่จนถึงในปัจจุบันยังไม่มีข้อสรุปออกมา
สำหรับการผลักดันโครงการเอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ จะเลือกลงทุนพื้นที่ใดนั้น ควรจัดทำประชาพิจารณ์เพื่อสอบถามความคิดเห็นของประชาชนในแต่ละจังหวัดว่าเห็นด้วยหรือไม่ ก่อนเข้าไปพัฒนาโครงการ
ภูเก็ตไม่เห็นด้วยลงทุนในพื้นที่
ขณะเดียวกันจากการได้พูดคุยกับนายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต ได้ประเมินเบื้องต้นว่าไม่สนับสนุนในการทำโครงการในจังหวัดภูเก็ต เนื่องจากปัจจุบันอัตราการท่องเที่ยวอยู่ในระดับโอเวอร์ซัพพลายแล้ว ทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวและเกิดปัญหาการจราจรที่ติดขัด
“จากการอภิปรายในครั้งนี้ เห็นด้วยกับผู้ร่วมเสวนาหลายคน เนื่องจากโครงการยังไม่มีความชัดเจนหลายด้าน และในปัจจุบันยังไม่รู้ว่าจะเลือกลงทุนในพื้นที่ใด”
เสนอลงทุนจังหวัดแห่งใหม่ กังวลจังหวัดหลัก 5 ท่องเที่ยว โอเวอร์ซัพพลาย
ทั้งนี้เมื่อประเมินว่าการลงทุนอาจอยู่ใน 5 จังหวัดท่องเที่ยวหลัก ถือเป็นพื้นที่สร้างรายได้สูงและมีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก แต่ปัจจุบันโครงสร้างทรัพยากรพื้นฐานอาจไม่เพียงพอกับความต้องการของนักท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ตและพัทยา ซึ่งช่วงหน้าร้อนระบบน้ำเกิดปัญหาไม่เพียงพอกับความต้องการ
ดังนั้นแนวทางสำคัญที่ภาครัฐควรมุ่งดำเนินการเพื่อสร้างประโยชน์ต่อการท่องเที่ยวคือ การหาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ แห่งที่ 6 เพื่อให้เป็นเดสทิเนชันแห่งใหม่ และเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพ รวมถึงอยู่ในทำเลไม่ไกลจาก กทม. เพื่อทำให้การเดินทางสะดวกและเชื่อมต่อระบบขนส่งได้หลากหลาย อีกทั้งหากมีการทำประชาพิจารณ์ในจังหวัดนี้ อาจได้รับความสนใจจากประชาชนในพื้นที่สนใจเข้ามาร่วมโครงการได้ เนื่องจากไม่ใช่จังหวัดท่องเที่ยวหลัก
ขณะเดียวกัน การลงทุนสร้างเดสทิเนชันใหม่แห่งที่ 6 ของประเทศไทย ที่สอดรับกับโมเดลเอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ เป็นการรวบรวมแหล่งท่องเที่ยวไว้หลากด้านจึงสามารถดึงกลุ่มครอบครัวเข้ามาท่องเที่ยว ดังนั้นกลุ่มครอบครัวที่เข้ามาในไทยสามารถเข้าไปท่องเที่ยวทั้งใน 5 จังหวัดหลัก และกลับมาท่องเที่ยวในทำเลแห่งใหม่ จากการมีโครงสร้างพื้นฐานในการเดินทางที่เชื่อมต่อได้สะดวก
นอกจากนี้อีกโมเดลที่มีความน่าสนใจสามารถนำมาปรับใช้กับประเทศไทยได้คือ เมืองลาสเวกัส ของประเทศสหรัฐ จากเป็นเมืองทะเลทราย จึงได้เริ่มต้นจากคาสิโน ไปสู่เอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ทำให้เมืองสามารถขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นสิ่งสำคัญของประเทศไทยคือ การวางกรอบกฎหมายให้ชัดเจน หรือการสร้างในพื้นที่แห่งใหม่ ด้วยการจัดทำสู่ เขตประกอบการพิเศษ เพื่อให้ใบอนุญาตในการประกอบธุรกิจ อีกทั้งประเมินจากต่างประเทศที่มีการสร้าง “แหล่งท่องเที่ยวแบบมนุษย์สร้าง” (Man-made Destination) อย่าง ยูนิเวอร์ซอล ที่มีลงทุนโครงการอยู่ไกลจากใจกลางเมืองเช่นกัน รวมถึงมีการสร้างแหล่งท่องเที่ยวหลากหลาย สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้จำนวนมากเช่นกัน
ขอภาครัฐวางกฎหมายชัดเจน หวั่นเกิดช่องโหว่ แหล่งฟอกเงิน
ทางด้านข้อกังวลนั้น อยากให้ภาครัฐวางกรอบกฎหมายและปิดช่องโหว่ต่างๆ ในหลายมิติ ที่สร้างความวิตกกังวลให้แก่คนในประเทศ โดยที่ผ่านมาเรื่องการบังคับใช้กฎหมายของประเทศไทยค่อนข้างเป็นปรัชญามากๆ เห็นได้อย่างชัดเจนกับการประกอบธุรกิจโรงแรมของประเทศไทย ยังมีโรงแรมผิดกฎหมายเปิดให้บริการจำนวนมาก ดังนั้น หากประเทศไทย ไม่มีกรอบกฎหมายชัดเจน จึงอาจเกิดช่องโหว่กลายเป็นแหล่งของการฟอกเงินของกลุ่มทุนสีเทา
อีกทั้งยังไม่มีความชัดเจนของกรอบกฎหมายในเรื่องคุณสมบัติของผู้เข้าไปใช้บริการ และข้อกำหนดเรื่องการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว เช่น หากมีปัญหาเรื่อง การผ่อนชำระเงินกับสถาบันการเงิน หรือ คุณสมบัติของผู้บริหารระดับสูงสุดของสถาบันต่างๆ สามารถเข้าใช้บริการได้หรือไม่ เป็นต้น
"แม้ว่าการลงทุนโครงการ อาจเลือกพื้นที่ ที่ไม่ใช่ใจกลางเมือง นักลงทุนอาจไม่สนใจ แต่หากประเทศไทย สามารถวางกรอบกฎหมายได้อย่างชัดเจน ทำให้ทุกคนในประเทศเกิดความสบายใจ ในท้ายที่สุดการเลือกจังหวัดรอง ที่มีต้นทุนแตกต่าง ก็สามารถดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนในระยะยาว และเกิดการลงทุนต่อเนื่องได้"