‘TINY NOSE’ ปรับอย่างไร ท่ามกลางแบรนด์จีนบุกหนักทิชชู่เปียกไทย

‘TINY NOSE’ ปรับอย่างไร ท่ามกลางแบรนด์จีนบุกหนักทิชชู่เปียกไทย

TINY NOSE ผ้าเปียกน้ำเกลือรายแรกของไทย ชี้ตลาดทิชชู่เปียกไทย 1,400 ล้าน แบรนด์จีนรุกหนัก เน้นแข่งราคา ทำให้ผู้ประกอบการกระทบ ดังนั้น การปรับตัว ขยายสินค้าคือทางออก

“วรวิทย์ วงศ์ศรีรุ่งเรือง” ผู้อำนวยการ บริษัท เฌอร์คุณฎา จำกัด ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ TINY NOSE กล่าวว่า ภาพรวมตลาดทิชชู่เปียกของประเทศไทยมีการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้น จากแบรนด์จากจีนที่เข้ามาทำตลาดในไทย เน้นทำราคา 10-20 บาท ทำให้ผู้ประกอบการแบรนด์ไทยได้รับผลกระทบ และบางแบรนด์มียอดขายลดลง 20-30% ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา รวมถึงผลจากอัตราการเกิดของเด็กไทยที่ลดลง เนื่องจากตลาดทิชชู่เปียกสำหรับเด็ก ครองส่วนแบ่งการตลาดที่สูง

ทั้งนี้มีการประเมินตลาดรวมทิชชู่เปียกของประเทศไทยในช่วง 4 ปีก่อนหน้านี้ หรือประมาณก่อนโควิดมีมูลค่าประมาณ 1,400 ล้านบาท ส่วนรวมตลาดทิชชู่เปียกสำหรับเด็ก มีการขยายตัวเล็กน้อยเพียง 1% มาจากอัตราการเกิดของเด็กไทยที่ลดน้อยลงในทุกปี

 

สำหรับการเข้ามาของแบรนด์จากต่างประเทศ โดยเฉพาะแบรนด์จากประเทศจีนไม่ได้ส่งผลกระทบต่อบริษัทมากนัก เนื่องจากบริษัทได้มุ่งทำตลาด ทิชชู่เปียกน้ำเกลือในประเทศไทยมาเป็นเวลา 9 ปี ที่เป็นตลาดนิชมาร์เก็ต ในกลุ่มคุณแม่รุ่นใหม่

 

‘TINY NOSE’ ปรับอย่างไร ท่ามกลางแบรนด์จีนบุกหนักทิชชู่เปียกไทย

 

ขณะเดียวกันเมื่อประเมินตลาดรวมสินค้าทิชชู่เปียกน้ำเกลือ มีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 10% ในตลาดรวมทิชชู่เปียก ทำให้ประเมินว่าตลาดทิชชู่เปียกน้ำเกลือมีมูลค่าประมาณ 80 ล้านบาท โดย TINY NOSE มีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 80% เป็นผู้นำ ส่วนที่เหลือเป็นแบรนด์จากประเทศไทยประมาณ 10 แบรนด์ 

"แม้ว่าอัตราการเกิดของเด็กในไทยลดลงก็ตาม แต่พบว่า ยอดการใช้จ่ายของกลุ่มคุณแม่ไม่ได้ลดลงเลย เนื่องจากคุณแม่สนใจเลือกสินค้าและเน้นคุณภาพ หรือคุณแม่ช่างเลือกมากขึ้น" 

ภาพรวมแบรนด์เน้นเจาะตลาดกลุ่มเป้าหมายคุณแม่ที่มีลูกแรกเกิด จนถึงช่วงอายุ 2 ขวบ และราคาสินค้าของบริษัทที่มีราคาสูงกว่า ทิชชู่เปียกแบรนด์ทั่วไปในตลาดประมาณ 40-50%  

“แบรนด์เข้ามาทำตลาดรวม 9 ปีแล้ว แต่ยังสามารถแข่งขันได้ในตลาด มาจากทั้งการตำแหน่งของแบรนด์ดิ้งที่ชัดเชน จึงสร้างการจดจำแก่กลุ่มลูกค้า โดยเฉพาะการสร้างคอมมูนิตี้ในกลุ่มแม่ได้อย่างแข็งแกร่ง ทำให้สินค้าสามารถอยู่รอดได้ในตลาด ท่ามกลางคู่แข่งขันที่เข้ามาเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากแบรนด์ไทย” 

สำหรับการกลับมารุกตลาดในประเทศไทยครั้งใหม่นี้บริษัทได้เตรียมงบไว้ 10 ล้านบาท มุ่งขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่รวมประมาณ 8 รายการ ถือว่าเป็นการใช้งบพัฒนาผลิตภัณฑ์และทำการตลาดสูงสุดตั้งแต่สร้างแบรนด์มา โดยในช่วง 8 ปีก่อน บริษัทมีผลิตภัณฑ์สำหรับแม่และเด็กทั้งสบู่และครีมบำรุงผิว รวมถึงสกินแคร์ จากพาร์ทเนอร์โรงงานที่ประเทศอิตาลี แต่เมื่อมีเผชิญสถานการณ์โควิด ทำให้พาร์ทเนอร์โรงงานต้องหยุดผลิตสินค้า เนื่องจากถูกรัฐบาลร้องขอให้เน้นการผลิตเจลแอลกอฮอล์ ป้อนให้แก่ในประเทศ ทำให้บางไลน์การผลิตบางส่วนหายไป

ดังนั้นจากวิกฤตจึงนำไปสู่โอกาสการเน้นพัฒนา ทำการวิจัยและพัฒนาสินค้ากลุ่มใหม่มาสู่ตลาดกับ ผลิตภัณฑ์สเปรย์น้ำเกลือพ่นจมูกสำหรับเด็ก ที่ใช้เวลาวิจัยและพัฒนาร่วมทศวรรษ พร้อมนำเข้ามาทำตลาดอย่างเป็นทางการ "Salinex Mist Baby" ภายใต้แบรนด์ TINY NOSE เพื่อทำให้การล้างจมูกทำได้อย่างรวดเร็วและเพิ่มความสะดวกให้แก่ลูกค้า พร้อมพกพาได้

อีกทั้งเพื่อขยายตลาดสู่กลุ่มเป้าหมายทำให้ Salinex Mist Baby ได้ร่วมมือคอลแลปส์กับแอนิเมชันระดับโลก "Cocomelon" ซีรีย์แอนิเมชันชื่อดังจากอังกฤษ ด้วยการนำคาแรกเตอร์มาดีไซน์บนบรรจุภัณฑ์ใหม่รวม 3 ดีไซน์ โดยในประเทศไทยมีฐานกลุ่มแฟนๆ จำนวนมาก ทำให้มียอดการดูซีรีย์ Cocomelon เฉพาะในไทยสูงถึง 500 ล้านวิว

สำหรับสินค้าใหม่ ผลิตภัณฑ์สเปรย์น้ำเกลือพ่นจมูก ได้รับการจัดให้อยู่ในกลุ่มเครื่องมือแพทย์ โดยตลาดน้ำเกลือมีมูลค่ามากกว่า 6,000 ล้านบาท และมีเซกเมนต์ตลาดสเปรย์น้ำเกลือพ่นจมูก มีมูลค่าประมาณ 120 ล้านบาท ซึ่งมีการขยายตัวประมาณ 5-7% ต่อปี และแบรนด์หลักทำตลาด ประมาณ 6-7 แบรนด์ ส่วนใหญ่เป็นแบรนด์จากต่างประเทศ ทั้งนี้บริษัทเป็นแบรนด์ไทยรายเดียว และราคาสินค้าของบริษัท ต่ำกว่าแบรนด์จากต่างประเทศประมาณ 50%

อย่างไรก็ตาม จากแผนการตลาดที่วางไว้ จะทำให้ Salinex Mist Baby สร้างยอดขายในปีนี้ 2568 รวมประมาณ 1.4 แสนขวด ส่วนภาพรวมยอดขายของทั้งบริษัทในปีนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 60 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากปีก่อน สัดส่วนยอดขายมาจาก ทิชชู่เปียกน้ำเกลือ และ ผลิตภัณฑ์สเปรย์น้ำเกลือพ่นจมูกในระดับเท่ากัน ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีสินค้าทิชชู่เปียก 6 รายการ ส่วนผลิตภัณฑ์สเปรย์น้ำเกลือพ่นจมูก 1 รายการ ทางด้านตลาดส่งออกมีในประเทศฟิลิปปินส์

แผนระยะยาวบริษัทวางแผนจะขยายสินค้ากลุ่มใหม่ที่เกี่ยวกับแม่และเด็กเข้ามาทำตลาดมากขึ้น โดยปัจจุบันมีสินค้าหลายกลุ่มอยู่ระหว่างการวิจัยและพัฒนา เพื่อขยายส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มขึ้นในตลาดผลิตภัณฑ์แม่และเด็กของประเทศไทย และการเป็นแบรนด์ที่อยู่ในใจของกลุ่มคุณแม่รุ่นใหม่ อีกทั้งวางแผนขยายสินค้ากลุ่มใหม่สำหรับผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น

"ในช่วงโควิดบริษัทเติบโตเล็กน้อยเพียง 1 หลัก แต่เมื่อท่องเที่ยวกลับมาปกติแล้ว บริษัทมีการเติบโตประมาณ 60% ในช่วงสามปีที่ผ่านมา ทำให้ในปีนี้มองว่ามีโอกาสขยายตัว 150-200% จากการขยายผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และเร่งทำตลาด"