‘กำแพงภาษีทรัมป์’ ป่วนท่องเที่ยว ‘ททท.’ ตรึงยอดทัวริสต์สหรัฐ 1 ล้านปี 68

เมื่อ “กำแพงภาษีทรัมป์” กำหนดมาตรการภาษีตอบโต้แบบรายประเทศในอัตราที่สูงกว่า มีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 เม.ย. 2568 สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ต่อเศรษฐกิจโลก! “การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย” (ททท.) ประเมินสถานการณ์ตลาด “นักท่องเที่ยวสหรัฐ” ว่าต้องแก้เกมด้วยการสื่อสารภาพลักษณ์ว่าประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่ “คุ้มค่าเงิน” (Value for Money) เพื่อตรึงยอดการเดินทางให้ถึงเป้าหมายเดิม 1 ล้านคนในปี 2568
ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท. กล่าวว่า นโยบายกำแพงภาษีของทรัมป์ มีผลต่อการทำตลาดนักท่องเที่ยวสหรัฐ ทำให้ ททท.ต้องตีตราภาพลักษณ์ประเทศไทย ว่าเป็นจุดหมายปลายทางที่คุ้มค่าเงิน พร้อมมอบประสบการณ์ท่องเที่ยวที่ดี สินค้าทุกอย่างหาซื้อที่เมืองไทยได้ในราคาดีที่สุด
“เดิมปี 2568 ตั้งเป้าดึงนักท่องเที่ยวสหรัฐเดินทางเข้าไทยเกิน 1 ล้านคน และเมื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศนโยบายกำแพงภาษี ยืนยันว่าจะไม่มีการปรับลดเป้าหมาย หลังจาก 3 เดือนแรก (ม.ค.-มี.ค.) มีจำนวนนักท่องเที่ยวสหรัฐสะสม 3.2 แสนคน มากเป็นอันดับ 8 ของนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยสูงสุด โดยมีแต่จะเพิ่มเป้าเหมือนกับตลาดนักท่องเที่ยวระยะไกล (Long haul) ตลาดอื่นๆ เพื่อนำมาบริหารความเสี่ยงกับตลาดนักท่องเที่ยวระยะสั้น (Short haul) บางตลาดที่ชะลอการเดินทาง เช่น จีน ขณะที่บางตลาดอย่างอินเดียมีแนวโน้มเติบโตดี ปีนี้คาดเดินทางเข้าไทยมากถึง 2.4-2.5 ล้านคน”
ทั้งนี้ ททท.จะไม่ปรับลดเป้าหมายตลาด “นักท่องเที่ยวระยะไกล” แต่อย่างใด และจะเพิ่มในบางตลาดที่มีศักยภาพมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยุโรปตอนใต้ เช่น อิตาลี และสเปน แม้จะมีหลักแสนคน แต่อัตราการเติบโตดีมาก ขณะเดียวกันก็มุ่งดึงตลาดอื่นๆ ที่มีการใช้จ่ายสูง เช่น อิสราเอล ขณะที่ตลาดใหญ่ของยุโรปน่าจะได้ตามเป้าหมาย เช่น เยอรมนี 1 ล้านคน และสหราชอาณาจักร 1 ล้านคนในปีนี้ ด้านตลาดรัสเซียมีความเป็นไปได้ที่จะถึง 2 ล้านคน
สำหรับตลาด “นักท่องเที่ยวจีน” ในปีนี้ เมื่อดูเป้าหมายเชิงนโยบายกำหนดที่ 8 ล้านคน ส่วนเป้าหมายของ ททท. อยู่ที่ประมาณ 7.3 ล้านคน หนึ่งในโฟกัสหลักคือ การหวนใช้กลยุทธ์การตลาดแบบคลาสสิก ร่วมมือกับบริษัททัวร์ที่เปรียบเสมือน “ฟรอนต์ ไลเนอร์” (Front Liner) เพื่อดึงกรุ๊ปทัวร์จีนจากเมืองใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยเดินทางมาเที่ยวไทย
“การปรับเป้าหมายภาพรวมนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยปีนี้ ต้องขอประเมินสถานการณ์ต่างๆ อีกครั้งว่าจะปรับเป้าหมายหรือกลยุทธ์การทำงานในแต่ละพื้นที่ตลาดอย่างไรเพิ่มเติมในช่วง 9 เดือนที่เหลือของปีนี้”
ธนพล ชีวรัตนพร อุปนายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่า ต้นเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา สมาคมฯ ประชุมร่วมกับ ททท. โดยเสนอให้จัด “เมกะ แฟมทริป” (Mega Fam Trip) ภายใต้ชื่อโครงการ “สวัสดี ไทยแลนด์” นำผู้ประกอบการบริษัททัวร์ และสื่อมวลชนรวม 600-700 ราย จากหลายมณฑลในประเทศจีน เดินทางมาสำรวจบรรยากาศ และสินค้าท่องเที่ยวในไทยเพื่อสร้างความเชื่อมั่น นำไปบอกต่อนักท่องเที่ยวจีน
ถ้าให้ประเมินสถานการณ์ตลาดจีนเที่ยวไทยตลอดปีนี้ น่าจะมีจำนวนเดินทางมาไทย 7 ล้านคน และเป็น “เรื่องยาก” ที่จะไปถึง 8 ล้านคน! ประเด็นหลักๆ คือ “ปัญหาภาพลักษณ์หมักหมม” นักท่องเที่ยวจีนไม่เชื่อมั่นด้านความปลอดภัย นับตั้งแต่มีข่าวนักแสดงชาวจีนหายตัวไปบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ต่อเนื่องมาจนถึงการปราบปรามแก๊งคอลเซนเตอร์ และเหตุแผ่นดินไหวล่าสุด
“ในประเทศจีนตอนนี้ คนจีนไม่ได้รับข่าวดีจากเมืองไทยแม้ว่าเหตุการณ์ต่างๆ จะคลี่คลาย ภาครัฐจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์การสื่อสารโดยตรงไปยังสื่อของทางการจีน พร้อมเผยแพร่ข่าวเจาะเป็นรายมณฑลมากกว่านี้ อย่างบริษัททัวร์ในจีนตอนนี้ เขาไม่ค่อยอยากนำเสนอแพ็กเกจท่องเที่ยวไทยเท่าไร เพราะปัญหาภาพลักษณ์ความปลอดภัยหมักหมม ต้องชักแม่น้ำทั้งห้ามาขาย และก็ไม่แน่ใจด้วยว่าจะขายได้หรือไม่ ต่างจากการขายแพ็กเกจท่องเที่ยวประเทศอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น แม้กำไรจะได้เท่าเดิม แต่ขายง่ายกว่ามาก เพราะคนเชื่อมั่นความปลอดภัย”
สมาคมฯ จึงมองว่าหนึ่งในวิธีแก้ปัญหาตลาดจีนเที่ยวไทยยอดตก ทางหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่แค่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กับ ททท. ต้องเข้ามาสนับสนุนอย่างเต็มตัว ให้เอกชนทำตลาดอย่างเดียวไม่ได้ เช่น กระทรวงมหาดไทย อาจปัดฝุ่นโครงการในลักษณะ “บ้านพี่เมืองน้อง” ลงนามเอ็มโอยู (MOU) กับเมืองในประเทศจีนเพื่อแลกเปลี่ยนนักท่องเที่ยวระหว่างกัน
ด้าน แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 3/2568 ณ อาคาร ททท. วานนี้ (9 เม.ย.68) ว่า จากเหตุแผ่นดินไหวรัฐบาลอยากให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกลับมากระตุ้นภาคการท่องเที่ยวของไทยต่อ เพราะตอนนี้ใกล้ช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่จะสามารถผลักดันได้ ดึงเงินเข้าประเทศได้ เพื่อให้สินค้า เช่น จากเอสเอ็มอี มีเงินเข้ามาหมุนเวียน ซึ่งผู้ประกอบการเขาเตรียมการค้าขายไว้หมดแล้วสำหรับช่วงสงกรานต์นี้ ขอให้กลับเข้าสู่โหมด “เดือนเมษายน น่าเที่ยว” เหมือนเดิม ทางรัฐบาลก็พร้อมผลักดันอย่างเต็มที่
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์