BPP กำลังฟื้นตัวขึ้น (วันที่ 18 สิงหาคม 2565)

BPP กำลังฟื้นตัวขึ้น (วันที่ 18 สิงหาคม 2565)

หลังประชุมนักวิเคราะห์ของ BPP เรารู้สึกกลาง ๆ ประเด็นสำคัญส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับกลยุทธ์ของบริษัท ข้อมูลโครงการต่าง ๆ ผลการดำเนินงาน และสถานะทางการเงิน

โดยบริษัทยังคงเป้าหมายจะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 5.3GWh (จากปัจจุบันที่ 3.2GWh)ภายในปี 2568 สนับสนุนจากโครงการ HELE (โครงการที่มีประสิทธิภาพสูงแต่ปล่อยมลพิษต่ำ) และ Thermal (4.5GWh), และโครงการพลังงานหมุนเวียน (RE) (800MWe) ซึ่งบริษัทจะเน้นที่ตลาดในสหรัฐ (เพื่อให้เกิด synergy กับแหล่งก๊าซของ Banpu (BANPU.BK/BANPU TB)*) และเวียดนาม รองลงมาคือตลาดที่บริษัทมีสถานะที่แข็งแกร่งอยู่แล้วในปัจจุบัน ทั้งนี้ สัดส่วน IBD/E ยังต่ำอยู่เมื่อเทียบกับของหุ้นอื่นในกลุ่มโดยอยู่ที่ 0.24x เท่านั้น จาก 0.22x ใน 1Q65 แม้จะเพิ่งออกหุ้นกู้ล็อตแรกมา 5.5 พันล้านบาทเพื่อสนับสนุนการเติบโต

 

ผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าหลักของบริษัทกำลังจะฟื้นตัวขึ้น

ส่วน SLG คาดว่าจะซื้อก๊าซได้ในราคาที่ถูกลง (คาดจะทำสัญญาระยะยาวกับเหมืองถ่านหินใน 2H65) และอัตราการใช้กำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้นจากการที่จีนผ่อนคลายมาตรการ lockdown ลง ซึ่งจะทำให้ผลขาดทุนลดลงระยะต่อไป และอาจพลิกมีกำไรได้ในปี 2566 เป็นอย่างเร็ว ส่วน CHPs เราคาดกำไรจะดีขึ้น YoY จากอัตราค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น (ซึ่งชดเชยต้นทุนถ่านหิน) และปริมาณยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากการเข้าไปในตลาดซื้อขายไฟฟ้า และอุปสงค์ที่ฟื้นตัวของผู้ใช้ไฟฟ้าในภาคอุตสาหกรรม อย่างเช่น Xiwang Group

 

 

 

ประมาณการ 2H65 – กำไรจะถึงจุดสูงสุดใน 3Q65 และจะแผ่วลงใน 4Q65

เราคาดว่ากำไรใน 2H65 จะแข็งแกร่งกว่าใน 1H65 โดยคาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักใน 3Q65F จะเพิ่มขึ้นเป็น ≥1.4-1.5 พันล้านบาท เนื่องจากเป็นช่วง high season ของ Temple I (ฤดูร้อนในรัฐ Texas ประเทศสหรัฐ) ผลขาดทุนจาก CHPs ลดลง (ค่าไฟฟ้าสูงขึ้น) และผลขาดทุนของ SLG ลดลง (ผลการดำเนินงานดีขึ้น) หลังจากที่จีนผ่อนคลายมาตรการ lockdown เราเชื่อว่าผลการดำเนินงานของ SLG จะได้แรงหนุนจาก capacity factor ที่เพิ่มขึ้น และต้นทุนถ่านหินที่ลดลงจากการทำสัญญาระยะยาวกับเหมืองถ่านหินใน 2H65 แต่เราคาดว่าผลประกอบการจะแผ่วลงใน 4Q65F เนื่องจากจะมีสองยูนิตของโครงการหงสาปิดซ่อมบำรุงตามกำหนด และคาดว่าผลการดำเนินงานของ Temple I จะชะลอตัวลง

 

Valuation & Action

เรายังแนะนำ ซื้อ ด้วยราคาเป้าหมาย DCF ปี 2566 ที่ 18.40 บาท โดยประเด็นสำคัญที่ได้จากการประชุมนักวิเคราะห์ยังเป็นไปตามข้อมูลที่ผู้บริหารให้ไว้ในครั้งล่าสุด และยังสนับสนุนมุมมองบวกของเราต่อบริษัท เราคาดว่าราคาหุ้นจะกลับมาโดดเด่นอีกครั้งตามผลประกอบการที่จะดีขึ้น และการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานโรงไฟฟ้าหลาย ๆ โรง โดยเฉพาะ CHPs (จาก margin ที่เพิ่มขึ้น) และ SLG (ราคาต้นทุนถ่านหินถูกลง และกำลังการผลิตสูงขึ้น) อีกทั้งเรายังมองว่านักลงทุนส่วนใหญ่ under-own หุ้น BPP

 

Risks

มีการปิดซ่อมบำรุงนอกแผน, ปัญหา cost overrun, ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และอัตราดอกเบี้ย