'คริปโตมายด์' เผย 'เมตาเวิร์ส' เหมาะลงทุนระยะยาว
แม้ว่าเราจะได้ยินคำว่า ‘เมตาเวิร์ส (Metavers)’คุ้นหูมากขึ้น จากการที่บริษัทต่างๆ พากันเข้าลงทุนโดยตั้งเป้าเป็น'เทรนด์แห่งอนาคต' ทำให้เราเข้าใจในรูปแบบของภาคธุรกิจ การลงทุน มากกว่าการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในไลฟ์สไตล์ในอนาคต
‘นายสัญชัย ปอปลี’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คริปโตมายด์ แอดไวเซอรี่ จำกัด หรือ Cryptomind เปิดเผยว่า เมตาเวิร์สเป็นเทรนด์แห่งอนาคต เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในระยะยาว มากกว่าระยะสั้นหรือระยะกลาง
จากการนำเมตาเวิร์สเข้ามาเปลี่ยนแปลงในภาคธุรกิจและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตการจากรูปแบบออฟไลน์มายังรูปแบบออนไลน์ โดยทุกคนจะมี NFT (Non-fungible token) ของตัวเองในปี 2568 และภาพอุตสาหกรรมเมตาเวิร์สจะชัดเจนในปี 2578
เมตาเวิร์สเหมาะลงทุนระยะยาว
ขณะนี้ราคาที่ดินบนบนเมตาเวิร์สในโปรเจกต์ ‘แซนด์ บ็อกซ์’ (Sandbox) และ ‘ดีเซ็นทรัลแลนด์’(Decentraland) มีราคาปรับลดลงมาจากจุดสูงสุดกว่า 80% รวมทั้งจากปริมาณการซื้อขายที่ปรับตัวลดลง ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาของสินทรัพย์ของตลาดเมตาเวิร์สเข้าสู่ความเป็นจริงมากขึ้น วอลลุ่มซื้อขายที่ดินเมตาเวิร์สในประเทศไทยลดลงในตลาดขาลง และที่มีการเคลื่อนไหวแค่ 10% ของคนที่มีบัญชีสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเรื่องปกติ
แต่ยังมีข้อดีที่ทำให้เห็นการพัฒนาในหลายๆโปรเจกต์ และการที่ราคาที่ดินในเมตาเวิร์สฟองสบู่แตก หรือมีราคาปรับลดลงมาในช่วงนี้ ถือเป็นช่วงที่ดีเนื่องจากราคาในช่วงก่อนหน้านี้พุ่งขึ้นสูงมาก การที่หลายบริษัทเข้าไปจับจองซื้อพื้นที่เมตาเวิร์ส แต่ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรกันด้วยซ้ำ และส่วนใหญ่ที่เปิดให้จับจองและที่บริษัทเข้าไปจับจองนั้น ส่วนใหญ่ยังไม่ได้เปิดให้คนเข้าไปเล่นอย่างแพร่หลาย
ถ้าหากคุณเป็นบริษัทที่มีความต้องการซื้อและมีการวางแผนการนำไปทำกิจกรรมในอนาคตเป็นช่วงที่ดีในการเข้าซื้อสินทรัพย์เพื่อนำไปต่อยอดหรือเป็นนักพัฒนาที่ซื้อมาแล้วสามารถใช้ได้ โดยต้องเลือกโปรเจกต์ที่มีความน่าสนใจ เนื่องจากการถือครองในระยะยางอาจมีความเสี่ยงที่ในอนาคตอาจไม่มีผู้เข้ามาเล่นในเมตาเวิร์สนั้นๆทำให้ไม่มีใครต้องการมาซื้อที่ดินต่อ
แต่ไม่เหมาะกับการซื้อที่ดินบนเมตาเวิร์สเพื่อเก็งกำไรในระยะสั้นหรือระยะกลาง จะดีกว่าหากนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทอื่น เช่น สกุลเงินดิจิทัลที่มีความน่าสนใจ เช่น บิตคอยน์ หรืออีเธอเรียม ที่มีความแข็งแรง และเชื่อว่าคนที่เข้าไปในตลาดตอนนี้ไม่ได้เข้าไปเก็งกำไรอย่างเดียวอาจจะมีแพลนเพื่ออยู่ในตลาดไปในระยะยยาว และนำที่ดินไปสร้างสรรค์มากกว่าการเก็งกำไร
ในปัจจุบัน บริษัทต่างๆ เข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมนี้อย่างมหาศาล เช่น บริษัทเทคโนโลยีในประเทศจีน อย่างอาลีบาบา Tencent หรือแม้แต่บริษัทไมโครซอร์ฟ (Microsoft)เข้าซื้อกิจการ Activision Blizzard ที่มีมูลค่ากว่า 6.87 หมื่นล้านดอลลาร์ (2.27 ล้านล้านบาท) ถือเป็นหนึ่งในการเข้าซื้อกิจการที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ซึ่งการที่เข้าไปซื้อบริษัทเกมส์ในครั้งนี้จะทำให้มีการพัฒนาภาพและระบบเมตาเวิร์สที่มีภาพสวยๆ เพื่อดึงดูดผู้ใช้งาน ถือว่าไมโครซอร์ฟมองเห็นอนาคตของอุตสาหกรรมเมตาเวิร์ส
อนาคตเมตาเวิร์สเริ่มชัดเจน
Nike ถือเป็นหนึ่งในแบรนด์สินค้าแบรนด์แรก ๆ ที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในพื้นที่เมตาเวิร์สโดยก่อนหน้านี้บริษัทได้เปิดตัว NIKELAND บนเกม Roblox เพื่อช่วยให้แฟน ๆ สามารถเข้ามาเล่นกีฬาและสามารถแต่งตัวอวตาร์ของพวกเขาด้วยผลิตภัณฑ์ที่อยู่ภายใต้แบรนด์ของ Nike ซึ่งการเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้น หลังจากเฟซบุ๊กได้ประกาศรีแบรนด์บริษัทมาเป็น Meta เพื่อขยายธุรกิจของพวกเขามาสู่เมตาเวิร์ส
โดย Nike ได้มีการจดสิทธิบัตรของรองเท้าผ้าใบดิจิทัลในรูปของสินทรัพย์ดิจิทัลตั้งแต่ปี 2562 หลังจากที่เข้าไปซื้อบริษัท RTFKT ซึ่งเป็นบริษัทสตูดิโอออกแบบของสะสม NFT สำหรับ Metaverse และเป็นผู้สร้าง ‘CloneX’ โปรเจกต์ที่สร้างอวาตาร์ร่วมกับศิลปินชื่อดังของญี่ปุ่น เช่น Takashi Murakami ซึ่งมีมูลค่าการซื้อขายรวมมากกว่า 65 ล้านดอลลาร์
สถานการณ์ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในตอนนี้ กลับเข้ามาสู่สถานการณ์ปกติ95% จากโดมิโนเอฟเฟคที่น่าจะจบไปแล้ว จากการที่บริษัทและแพลตฟอร์มต่างๆที่เกี่ยวข้องกับแพลตฟอร์มกู้ยืมสินทรัพย์ดิจิทัลใหญ่ ๆ ที่มีปัญหาขาดสภาพคล่องอย่างเซลเซียส เน็ตเวิร์ค (Celsius Network)และทรีแอโรล แคปปิตอล(Three Arrows Capital) ซึ่งสถานการณ์นี้ทำให้ผู้เล่นที่มีศักยภาพสามารถอยู่ในตลาดต่อไปได้
รวมทั้งการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีการเปลี่ยนแปลง จากแต่ก่อนเชื่อว่าควรลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล 1-3% แต่ปัจจุบันเพิ่มการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมาเป็น 5-10% ของพอร์ต รวมทั้งสถาบันการเงินและบริษัทใหญ่รอจังหวะเข้าซื้อ และมีการยอมรับจากจำนวนของวอลเล็ตแอสเดรสที่เพิ่มมากขึ้นและและการพัฒนากฎหมายทั่วโลกเพื่อออกใบอนุญาติมารองรับการทำกิจกรรมต่างๆในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล