“StashAway” นำเทรนด์ “ดิจิทัลเวลท์เมเนจเม้นท์”  สร้างความมั่งคั่งคนไทย

“StashAway” นำเทรนด์  “ดิจิทัลเวลท์เมเนจเม้นท์”   สร้างความมั่งคั่งคนไทย

ในช่วงระยะ 5-10 ปีข้างหน้านี้ “ประเทศไทย” กำลังเป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน ของเทคโนโลยีที่เข้ามาเปลี่ยนแปลง อุตสาหกรรม Wealth Management หรือ การบริหารจัดการความมั่นคง ไปสู่ “Digital Wealth Management” หรือ การบริหารจัดการความมั่งคั่งด้วยระบบดิจิทัล

หนึ่งในผู้นำทางด้านธุรกิจ “Digital Wealth Management” ในสิงคโปร์ อย่าง “StashAway” เห็นโอกาสการเติบโตนี้ในประเทศไทย นายมิเกเล เฟอร์ราริโอ ซีอีโอ และผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มบริษัท StashAway กล่าวว่า  เทรนด์ “Digital Wealth Management” ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะประเทศไทย ปัจจุบันยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และยังมีโอกาสเติบโตก้าวกระโดด เช่นเดียวกับในสหรัฐและยุโรปเริ่มเมื่อ 15 ปีก่อนจนปัจจุบัน สัดส่วน “Digital Wealth Management” สูงถึง 70-80%

ช่วยปลดล็อกการลงทุนคนไทย

ขณะที่ความต้องการลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศของคนไทยได้เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตาม ทางเลือกในการลงทุนต่างประเทศยังมีจำกัด มีความซับซ้อน และมีค่าธรรมเนียมสูง ซึ่งทำให้การกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนของคนไทยยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร โดยประเทศไทยยังมีสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ที่กระจุกตัวอยู่ในประเทศค่อนข้างมาก เมื่อเทียบกับประเทศสิงคโปร์และฮ่องกง ตามข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย

“เราพบว่าปัจจุบันคนไทยยังถือเงินสดในสัดส่วนที่สูงถึง 47% ขณะที่คนสหรัฐและสิงคโปร์ ถือเงินในสัดส่วนเพียง 14% และ 37% ซึ่งการถือเงินสดจำนวนมาก สะท้อนได้ว่าคนไทยมีเงินไม่พอลงทุนและยังลงทุนไม่พอ ทำให้เสียโอกาสในการใช้เงินทำงานสร้างความมั่งคั่งแต่ Digital Wealth Management สามารถช่วยให้คนไทยก้าวข้ามขีดจำกัดดังกล่าว ด้วยระบบการบริหารจัดการความมั่งคั่งได้ง่ายบนแฟลตฟอร์มดิจิทัล ช่วยจัดการความซับซ้อนในการลงทุนต่างประเทศ และมีค่าธรรมต่ำกว่า”

 

 

 

 

 

ชูเป้า 5 ปีมีAUM ในไทย สัดส่วน 10-20%

สำหรับในประเทศไทย ดำเนินธุรกิจภายใต้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) สแทชอเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด โดยได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์จัดการกองทุนส่วนบุคคลจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และเริ่มดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมาเป็นระยะเวลา 1 ปี

นายมิเกเล ได้วางเป้าหมายในประเทศไทย ในระยะ 5 ปีข้างหน้า มีสัดส่วนสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) คิดเป็นสัดส่วน 10-20 % ของAUM ทั้งหมดของกลุ่มStashAway 

โดยในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา (ณ ต้นปี 2564)  กลุ่มStashAway  มี AUM ทั้งสิ้น 30,000 ล้านบาท ขยายการให้บริการใน 5 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง  ฮ่องกง ไทย มีนักลงทุนในกว่า 170 ประเทศทั่วโลกในระยะเวลา 5 ปีตั้งแต่เริ่มก่อตั้งเมื่อปี 2559 และคาดว่าในอีก 2 ปีข้างหน้าจะมีการขยายบริการในประเทศอื่นๆในภูมิภาคเอเชียเพิ่มเติม

ทั้งนี้ เม็ดเงินการระดมทุนของกลุ่ม StashAway ขณะนี้ยังมีเพียงพอและจะพิจารณาการลงทุนรอบใหม่อย่างรอบคอบเมื่อมีความจำเป็นต้องขยายธุรกิจเพิ่มเติม 

หลังจากระดมทุนล่าสุดเมื่อปี 2564 รอบ Series D มูลค่ารวม 25 ล้านดอลลาร์ นำโดย Sequoia Capital India ,ปี 2563 รอบ Series C มูลค่ารวม 16 ล้านดอลลาร์ , ปี 2562 รอบ Series B มูลค่ารวม 12 ล้านดอลลาร์ นำโดย Eight Road Ventures ,ปี 2561 ระดมทุน Series A มูลค่ารวม 5.3 ล้านดอลลาร์ และ ปี 2560 ระดมทุน Pre- Series A มูลค่ารวม 2.5 ล้านดอลลาร์

มุ่งขยายความมั่งคั่งให้ “คนไทยในต่างจังหวัด” 

สำหรับการดำเนินธุรกิจ Digital Wealth Management  ในประเทศไทย นายยศกร นิรันดร์วิชย  กรรมการผู้จัดการ บลจ. สแทชอเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า  เราเป็นแพลตฟอร์มบริหารการลงทุน Digital Wealth Management Platform นำเสนอบริการการลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลกผ่าน ETF บนแอปพลิเคชันที่ใช้งานง่าย และมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำ กว่าตลาดถึง 10 เท่า

ปัจจุบันเรายังอยู่ในช่วงเริ่มต้น มีฐานลูกค้าหลากหลาย อายุเฉลี่ย 27-40 ปี ทั้งมีความมั่งคั่งสูง และมีวินัยการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ แต่ฐานลูกค้ายังคงกระจุกตัวในพื้นที่กรุงเทพฯ  

หลังจากนี้ เราจะมุ่งขยายฐานลูกค้าเพิ่มเติมมากขึ้นในพื้นที่ต่างจังหวะ ด้วยการเริ่มลงทุนบริหารจัดการความมั่งคั่งตั้งแต่อายุยังน้อย ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นไม่มาก เช่น ขั้นต่ำ 200 บาทหรือ 1,000 บาท ลงทุนง่ายบน Digital Wealth Management อย่างมีวินัยสม่ำเสมอ DCA ทุกเดือน รวมถึงมีการให้ความรู้การลงทุนอย่างถูกต้องและเหมาะสมกับความเสี่ยงที่รับได้

 ชูการลงทุนต่างประเทศผ่าน ETF 

ด้วยจุดเด่นของเรา คือมีเทคโนโลยี Fractional Shares ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถถือเศษส่วนของหน่วยลงทุน ETF ได้ละเอียดถึง 0.0001 หน่วย ซึ่งจะช่วยลดข้อจำกัดในเรื่องจำนวนเงินขั้นต่ำในการซื้อ ETF และสามารถลงทุนตาม Asset Allocation ได้แม่นยำมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ เรามีระบบติดตามและทบทวนพอร์ตการลงทุนให้เหมาะกับทุกจังหวะชีวิต เสมือนมีผู้จัดการกองทุนส่วนตัวคอยดูแลตั้งแต่ต้นจนบรรลุเป้าหมายทางการเงินอีกด้วย

โดยการมอบเทคโนโลยีที่ช่วยให้การลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลกเป็นเรื่องง่ายเพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนจากอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจที่เติบโตสูง มีการบริหารพอร์ตการลงทุนที่มีประสิทธิภาพตามการเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจ และสามารถควบคุมความเสี่ยงได้อย่างแท้จริงเพื่อช่วยให้นักลงทุนไทยสามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้อย่างยั่งยืน

โดยผลการดำเนินงานจริงตั้งแต่เริ่มให้บริการกลุ่ม StashAway  อยู่ที่ประมาณ 2% - 7% ต่อปี (มาจากผลตอบแทนก่อนหักค่าธรรมเนียม โดยอยู่ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐและอัปเดตครั้งล่าสุดในเดือนก.ค. 2565)  

ตัวอย่างเช่น พอร์ตที่มีระดับความเสี่ยงกลางและมีค่า StashAway Risk Index (SRI) 20% มีผลการดำเนินงานจริงเฉลี่ย 5.7% ต่อปีในขณะที่ Benchmark ที่มีระดับความเสี่ยงเดียวกันมีผลการดำเนินงานเฉลี่ย 5.1% ต่อปี 

ทั้งนี้ Benchmark ที่เราใช้ในการเปรียบเทียบมาจาก MSCI World Equity Index (ในส่วนของหุ้น) และ FTSE World Government Bond Index (ในส่วนของตราสารหนี้) โดยน้ำหนักของ Benchmark ที่เราใช้จะมีค่าความผันผวนที่เกิดขึ้นจริง (Realized Volatility) ในระยะเวลา 10 ปีเท่ากับระดับความเสี่ยง StashAway Risk Index