ถอดสูตร“วิทัย”นำทัพออมสินสร้างเครดิตการเงินคนฐานราก
ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการเงิน โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีและประชาชนระดับฐานราก เป็นหนึ่งในปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม ที่ธนาคารออมสิน ภายใต้แกนนำของ”วิทัย รัตนากร”ผู้อำนวยการธนาคาร ตั้งเป้าหมายที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไข
โดยในระยะกว่า 2 ปีที่ผ่านมา เขาได้สร้างผลลัพธ์ของงานที่เด่นชัดผ่านการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินถึง 45 โครงการ ดึงกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีและคนฐานรากเข้าระบบกว่า 13 ล้านราย
ชี้โควิดหนุนโอกาสสร้างธนาคารเพื่อสังคม
วิทัยเข้ามารับตำแหน่งกว่า 2 ปีเศษ ซึ่งมาในยุคโควิดเกิดขึ้นพอดี แต่ว่าสำหรับเขาแล้ว มองว่า วิกฤตโควิดได้ทำให้กลายเป็นโอกาสที่ทำให้ธนาคารสามารถปรับองค์กรได้และบรรลุวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนขึ้น เพราะวิกฤตโควิดทำให้ทุกคนเดือดร้อน เอสเอ็มอีก็เดือดร้อน ผู้คนก็เดือดร้อน โดยเฉพาะคนฐานรากที่เดือดร้อนมาก
ปัจจุบันออมสินเป็นธนาคารเพื่อสังคมอย่างแท้จริง เพราะที่ผ่านมา ได้เข้าไปช่วยคนในมิติต่างๆได้มากขึ้น เพราะการมาของโควิดทำให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำรุนแรงขึ้น เราจึงได้ดึงคนเข้าระบบด้วยต้นทุนที่เป็นธรรมมากขึ้น พร้อมกับสร้างประวัติทางเครดิตใหม่ให้แก่ผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอีและกลุ่มคนฐานราก
ขณะเดียวกัน ปัญหาดิสรัปชันที่เกิดขึ้นทั้งหมด ทำให้ลักษณะการประกอบธุรกิจเปลี่ยนแปลงไป สิ่งที่เราทำตอนนี้ ก็สอดคล้องกับภารกิจเทรนด์ของโลก เพราะธนาคารในรูปแบบเดิมจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะมีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาตอบโจทย์ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า ฉะนั้น ถ้าทำธุรกิจที่เหมือนเดิม ก็หมายความว่า แก้ปัญหาไม่ได้ ฉะนั้น สิ่งที่เราทำจะเน้นที่ผลลัพธ์ และ ต้องเป็นผลลัพธ์ที่มีพลังด้วย
“ผมเองก็ปรับให้ออมสินเป็นธนาคารเพื่อสังคม ความหมายก็ชัดเจน ซึ่งหมายถึง เราก็ทำธุรกิจของเราไปด้วย เอากำไรจากธุรกิจและกำไรจากการลดต้นทุนมาช่วยหนุนภารกิจเชิงสังคม ฉะนั้น เราก็เป็นแบงก์ที่ทำธุรกิจปกติด้วย และ นำกำไรมาสนับสนุนภารกิจเชิงสังคม”
เขาระบุว่า ด้วยความใหญ่โตของธนาคาร ซึ่งมีสาขาถึง 1,050 สาขา มีสินทรัพย์กว่า 3 ล้านล้านบาท มีเงินให้สินเชื่อ 2.2 ล้านล้านบาท เมื่อสามารถลดต้นทุนได้มาก ก็มีกำไรเพิ่มขึ้น กำไรอันนั้น ก็นำมาจุนเจือภารกิจเชิงสังคม ทำให้สามารถช่วยสังคมได้มาก เป้าหมายหลัก คือ พ่อค้าแม่ค้า เอสเอ็มอีฐานราก คนที่ได้รับผลกระทบจากโควิดเต็มๆ
“2 ปีที่ผ่านมา ก็ช่วยคนกลุ่มนี้เป็นกอบเป็นกำ เป็นความภาคภูมิใจของธนาคารที่มีบทบาทชัดเจน และด้วยความใหญ่ของธนาคาร เราเข้าไปลดการบริหารจัดการองค์กร ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายส่วนเกิน ลดค่าพีอาร์ มาร์เก็ตติ้ง และ บริหารจัดการต้นทุน วางเงินฝากสั้น ยาว สามารถลดต้นทุนได้ในช่วงที่สภาพคล่องล้นระบบ เราก็แบ่งกำไรไปช่วยสังคม ก็เลยได้อิมแพคค่อนข้างสูง”
ดึงรากหญ้าเข้าระบบการเงินลดเหลื่อมล้ำ
วิทัยย้ำว่า ปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำทางสังคมนั้น ในฐานะที่เราเป็นธนาคารก็ได้เข้าไปดูแลเรื่องการเงินและปัญหาความยากจน ซึ่งเป็นปัญหาที่อยู่ด้วยกันมานานแล้ว ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง และเป็นปัญหาใหญ่โตมากของประเทศ ไม่ได้เกิดที่รัฐบาลชุดนี้ แต่มีความลึกและใหญ่โตมากขึ้นในช่วงโควิด
ทั้งนี้ ปัญหาที่ว่านี้ เป็นครึ่งหนึ่งของธุรกิจอยู่ในภาคบริการของประเทศและ 60%-70% อยู่ในธุรกิจบริการและค้าขาย ซึ่งการที่เราสูญเสียนักท่องเที่ยว 40 ล้านคน และการที่คนไทยไม่สามารถเดินทางหรือใช้บริการได้ ภาคบริการก็ได้รับผลกระทบ คนเหล่านี้ ก็จะตกงานและกลับถิ่นฐาน ไม่มีรายได้ ค่าครองชีพ จะเห็นว่า ผลกระทบสูงมาก เราก็เข้าไปดูแลส่วนนี้
คลอด45โครงการช่วยฐานราก13ล้านราย
ใน 2 ที่ผ่านมา ธนาคารได้ออกโครงการเข้าไปช่วยเอสเอ็มอี และประชาชนฐานราก 45 โครงการ มีคนเข้ามาใช้กว่า 13 ล้านราย ถือว่า เป็นภารกิจของรัฐบาลที่มอบหมายให้เราเข้ามาดูแล เราก็ทำเต็มที่ เป้าหมายต้องการให้เกิดผลลัพธ์เชิงบวก ไม่ต้องการภาพลักษณ์ ฉะนั้น ทุกโครงการต้องการให้เกิดความชัดเจนว่า ช่วยคนได้เท่าไหร่
“ยกตัวอย่างรายย่อย โควิดที่ผ่านมาเราปล่อยสินเชื่อรายย่อย 5.7 ล้านคน ถ้าเป็นปีปกติเราปล่อยแค่ 7-8 แสนรายเท่านั้น ต้องขอบคุณรัฐบาลที่เข้ามาเรื่องหนี้เสียให้เราด้วย ทำให้คนที่ขาดรายได้ 2-3 หมื่นบาท ต่อชีวิต หรือพ่อค้าแม่ค้าก็ต่อวงจรการทำธุรกิจให้เขาได้”
ตั้งเป้าสร้างเครดิตการเงินใหม่ให้คนจน
ที่สำคัญ ที่เราภาคภูมิใจ คือ การดึงคนเข้าระบบ โดยใน 2 ปีนั้น เราดึงคนฐานรากเข้าระบบสินเชื่อได้ถึงกว่า 5.7 ล้านราย ในจำนวนนี้ เป็นกลุ่มที่ไม่มีประวัติทางการเงินถึง 2.7 ล้านราย ตรงนี้ ถ้าในอีก 1-2 ปีข้างหน้า เขายังสามารถชำระหนี้ได้ตามปกติ อาจจะมี 1-2 ล้านคน ที่จะถูกดึงเข้าสู่ระบบทันที หมายความว่า เขาก็จะสามารถไปขอกู้จากสถาบันการเงินอื่นได้ เพราะเขามีประวัติการเงินที่ดีแล้ว
นำดิจิทัลพัฒนาผลิตภัณฑ์การเงิน
ปัจจุบันธนาคารออมสินมีโมบายแอปพลิเคชันที่ชื่อว่า MyMo มีคนเข้ามาใช้บริการแล้ว 12 ล้านคน และ 12 ล้านคนนี้ ได้เข้ามาใช้ผลิตภัณฑ์การเงินที่หลากหลาย เช่น การปล่อยสินเชื่อทำได้ 1.6 ล้านคน โดยไม่ต้องเข้าสาขา และปรับโครงสร้างหนี้ได้ประมาณ 6 แสนคน
“สองเรื่องนี้ ทำให้งานด้านดิจิทัลเราดีขึ้น แต่ต้องทำต่อ ปลายปีเชื่อว่า จะปล่อยสินเชื่อผ่านโมบาย โดยไม่ดูเรื่องของเงินเดือน แต่จะดูปัจจัยอื่น โดยให้เงินสินเชื่อไม่มากเพื่อควบคุมความเสี่ยงให้ได้ ถ้าทำได้ จะช่วยคนได้เยอะ”
แผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์การเงินใหม่
วิทัยเผยว่า ความตั้งใจที่จะเป็นธนาคารเพื่อสังคม ช่วยฐานรากและเอสเอ็มอีต่อไป ดังนั้น เราจะเพิ่มความลึกและความกว้างในการช่วยเหลือ แต่ว่า ตัวที่ประกาศออกไปจะขึ้นให้ได้ในไตรมาสสี่ คือ การตั้งบริษัทลูกขึ้นมาทำสินเชื่อที่ดิน โดยไม่ดูประวัติทางการเงิน แต่ดูเรื่องหลักประกันเป็นหลัก ที่ผ่านมา เราปล่อยสินเชื่อไปแล้ว 2 หมื่นล้านบาท ชื่อโปรดักส์ คือ มีที่มีเงิน
ทั้งนี้ โครงการนี้หมดไปเมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ตอนนี้จะไปที่บริษัทลูก ซึ่งจะช่วยเอสเอ็มอีทำมีที่มีเงิน หลักๆ คือ จะทำสินเชื่อที่ดิน โดยไม่ตรวจเครดิต เงินสินเชื่อที่ให้ราคาจะต่ำกว่าหลักประกันนิดนึง หรือ 50% ของราคาประเมิน เพื่อให้มีสภาพคล่องเข้าธุรกิจ นอกจากนี้ ยังจะทำธุรกิจขายฝาก ถือเป็นการต่ออายุและขยายธุรกิจในอนาคต
“ธุรกิจใหม่ที่เรากำลังจะทำนี้ จะเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบด้วย เพราะขายฝากตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ห้ามดอกเบี้ยเกิน 15% แต่ชีวิตจริงจะอยู่ที่ 20-30% แต่เป็นหนี้นอกระบบ บางแห่งนายทุนก็ยึดโฉนด เราก็เข้าไปแก้ปัญหา เข้าไปตัดราคาให้เหลือ 7-9% เพื่อช่วยคน”
นอกจากนี้ เรายังมีแผนที่จะให้บริษัทลูกดังกล่าวทำธุรกิจนอนแบงก์ เพื่อปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคลด้วย ซึ่งปัจจุบันดอกเบี้ยในระบบอยู่ที่ 25% เราจะเข้าไปแข่งขันเพื่อลดราคาลงซัก 5% เหลือ 20% ก็จะช่วยดึงคนเข้าระบบด้วยต้นทุนที่เป็นธรรม ฉะนั้น บริษัทใหม่ ก็จะทำสินเชื่อที่ดิน ขายฝาก และ สินเชื่อส่วนบุคคล
เดินหน้าดึงเงินฝากระยะยาว
ในปีนี้เราจะกลับมาทำเรื่องการออม ซึ่งจริงๆแล้ว เราเติบโตมาจากธนาคารเพื่อการออม แต่ช่วงโควิด คนเดือดร้อนเยอะ เราก็เบาเรื่องการออม เพราะคนไม่มีเงิน ตอนนี้สถานการณ์เริ่มผ่อนคลาย เราก็กลับมาทำเรื่องการออมใหม่ แต่ว่า เปลี่ยนการออมจากเน้นเด็ก มาเพิ่มการออมระยะยาว
“คือ เราเห็นว่า ในช่วงที่เกิดโควิด หน่วยงานรัฐที่ส่งเสริมการออมมาตลอด เพื่อเกษียณ แต่ถึงเวลาธุรกิจปิด คนไม่มีเงินเลย 1-2 เดือน เงินหมด แสดงให้เห็นว่าการส่งเสริมการออมระยะยาวไม่สำเร็จ”
สำหรับโปรดักส์เงินออมเพื่อสังคม ตัวแรกที่ออกไป คือ เงินฝาก 10 ปี ครั้งแรกออก 1.1 หมื่นล้านบาท ขายไม่ถึงครึ่งวันหมดเลย วิธีการก็ง่ายมาก คือ เราเข้าไปซื้อพันธบัตรรัฐวิสาหกิจระยะยาว 10 ปีในตลาดเก็บไว้ และเอาตัวนี้ไปปล่อยให้ประชาชนโดยไม่หักดอกเบี้ยเลย นอกจากนี้ ยังมีเงินฝาก 2 ปีครึ่ง เป็นเงินฝากระยะกลาง เป็นโปรดักส์เชิงสังคม ไม่ได้เอากำไร
มอง3ปัญหาท้าทายธุรกิจ
ที่จริงแล้วมีหลายเรื่อง แต่ชัดเจน คือ 1.ปัญหาการมาของโควิด ซึ่งซ้ำเติมปัญหาความเหลื่อมล้ำให้ลึกและรุนแรง คนตกงานเพิ่มมากเป็นล้าน และไม่กลับเข้าสู่ระบบแล้ว ฉะนั้น ปัญหาโครงสร้างเรื่องการเงิน ปัญหาหนี้นอกระบบ ซึ่งที่ผ่านมา หนี้นอกระบบเพิ่ม 1.5 เท่าจากของเดิม ถ้าดูในภาพรวม ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมการทำธุรกิจของแบงก์รัฐจริงๆ
2.เรื่องดิสรับชันต่างๆไม่ว่า ทรานฟอร์เมชัน พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป ทุกคนตอนนนี้ อยู่บนโมบายหมด นำมาซึ่งพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป ความชอบก็เปลี่ยนแปลงไป เดี๋ยวนี้เป็นยุดที่ไม่มีการคอย ซื้อของอาหารก็ต้องเดี๋ยวนี้ ทำให้ลักษณะการประกอบธุรกิจเปลี่ยนแปลงไป ถ้าไม่ปรับตัว ความสามารถแข่งขันระยะยาวยืนไม่อยู่ กำไรไปช่วยคนก็ลดลงไปด้วย
3.ธุรกิจจะต้องอยู่ในเทรนด์เรื่องความยั่งยืนและรักษาสิ่งแวดล้อม ถ้าไม่มาทางนี้ ก็จะอยู่ลำบาก แต่บังเอิญก็เป็นทางของเรา เราเป็นธนาคารเพื่อสังคม เรามีกำไรพอสมควร แต่กำไรตอนนี้ สูงกว่าปี 62 ก่อนโควิด หนี้เสีย 2.7% บริหารจัดการได้
วางเป้าช่วยแก้ปัญหาโครงสร้างประเทศ
ท้ายที่สุดวิทัยบอกว่า เป้าหมายที่ต้องการจากการเป็นธนาคารเพื่อสังคม คือ การเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศ ปัญหาความยากจน บรรเทาปัญหาความเหลื่อมล้ำ แต่ต้องเป็นความร่วมมือกับทุกภาคส่วนและใช้เวลา