คลังเล็งต่ออายุมาตรการลดภาษีน้ำมันดีเซลออกไปถึงสิ้นปีนี้
คลังเล็งต่ออายุมาตรการลดภาษีน้ำมันดีเซลออกไปจนถึงสิ้นปีนี้ หลังมาตรการดังกล่าวจะสิ้นสุดในวันที่ 20 ก.ย.นี้ เพื่อแบ่งเบาภาระประชาชน ลดผลกระทบเงินเฟ้อ คาดเงินเฟ้อปรับสูงสุดไตรมาสสามและเฉลี่ยทั้งปีที่ 6% พร้อมพิจารณาบลดค่าครองชีพกลุ่มวินมอเตอร์ไซค์และแท็กซี่
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในงาน “Bangkok Post Forum 2022 ก้าวใหม่ประเทศไทย ก้าวต่อไปบนความท้าทาย” ว่า กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างพิจารณาต่ออายุมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลออกไปอีกถึงสิ้นปี 65 นี้ ซึ่งปัจจุบันกระทรวงการคลังได้ปรับลดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล ที่ 5 บาทต่อลิตร และจะหมดอายุมาตราการวันที่ 20 ก.ย.นี้
เขากล่าวว่า การดำเนินการดังกล่าว ก็เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายประชาชนจากราคาน้ำมันที่ยังอยู่ในระดับสูง และช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายในช่วงปลายปี โดยในวันที่ 1 ก.ย.นี้ จะเริ่มใช้จ่ายในโครงการคนละครึ่งเฟส 5 และยังเพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ 3% - 3.5% ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
"เรากำลังพิจารณาว่าในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า เราจะมีมาตรการด้านภาษีเพื่อช่วยในเรื่องของราคาน้ำมันได้อย่างใด แต่ในการออกมาตรการยังต้องพิจารณาในด้านอื่นด้วย โดยเฉพาะในเรื่องของรายได้ของรัฐบาล ที่ปัจจุบันจัดเก็บได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่ได้นำมาชดเชยราคาพลังงาน ด้วยการปรับลดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลง 3 บาท และ 5 บาท ในช่วงที่ผ่านมา" นายอาคม กล่าว
นายอาคมยังกล่าวถึง อัตราเงินเฟ้อไทย ด้วยว่า คาดว่าจะปรับขึ้นสู่จุดสูงสุดในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ และเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 6% ดังนั้น สำหรับมาตรการระยะสั้นในช่วง 2-3 เดือนต่อจากนี้ เพื่อช่วยเหลือด้านค่าครองชีพ รัฐบาลจะเข้าไปดูแลเฉพาะกลุ่มมากขึ้น เช่น ในส่วนของผลกระทบจากราคาน้ำมันเบนซิน ซึ่งรัฐบาลไม่ได้ลดภาษีให้ ก็จะไปดูในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ คือ กลุ่มรถรับจ้าง และกลุ่มมอเตอร์ไซต์รับจ้าง รวมทั้ง กลุ่มแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ NGV ด้วย
ขณะที่ งบประมาณรายจ่ายปี 2566 ซึ่งจะเริ่มมีผลใช้วันที่ 1 ต.ค. 65 นี้ ในวงเงิน 3.185 ล้านล้านบาท โดยยังเป็นการจัดทำงบประมาณแบบขาดดุล ที่ 6.95 แสนล้านบาท ลดลงจากปีงบประมาณ 65 ซึ่งอยู่ที่ 7 แสนล้านบาท ทั้งนี้เป็นไปตามนโยบายที่กระทรวงการคลังได้ส่งสัญญาณก่อนหน้านี้ว่าการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อจากนี้ จะต้องขาดดุลลดลงอย่างต่อเนื่อง
นายอาคม ยังกล่าวถึง หนี้สาธารณะของไทย ณ ก.ค.65 อยู่ที่ 60.75% แม้ปัจจุบันจะขยายเพดานสัดส่วนหนี้สาธารณะเป็น ไม่เกิน 70% ต่อจีดีพี เพื่อเพิ่มพื้นที่ให้รัฐบาลสามารถใช้จ่ายได้ในกรณีฉุกเฉิน แต่ทั้งนี้สัดส่วนหนี้สาธารณะในปัจจุบันที่ยังอยู่ใกล้เคียงกรอบเดิม ที่ 60% ต่อจีดีพี สะท้อนว่ารัฐบาลยังบริหารและดำเนินนโยบายภายใต้วินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด
นอกจากนี้ การขยายเพดานการก่อหนี้ตามมาตรา 28% ที่ได้ขยายเพดานเพิ่มขึ้นจาก 30% เป็น 35% ต่องบประมาณรายจ่ายประจำปีนั้น เพื่อให้รัฐบาลสามารถเข้าไปช่วยเหลือเกษตรกรในช่วงที่ราคาข้าวตกต่ำ ผ่านโครงการประกันรายได้ ซึ่งการขยายเพดานดังกล่าว เป็นการขยายเพดานเป็นการชั่วคราว ดังนั้น เมื่อนำงบประมาณชำระหนี้ที่ตั้งไว้ในงบประมาณปี 66 มาชำระคืนได้ ก็จะทำให้สัดส่วนหนี้ที่ก่อขึ้นปรับลงมาอยู่ที่ 30% ในปีงบประมาณ 66
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระทรวงการคลัง อยู่ระหว่างการพิจารณาขยายอายุมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล ระหว่าง 1 – 3 บาท ต่อลิตร เนื่องจากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกขณะนี้ได้ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันราคาน้ำมันดิบดูไบต่ำกว่า 100 เหรียญต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 96.88 เหรียญต่อบาร์เรล
หากรัฐบาลปรับลดภาษีลง 1 บาท จะทำให้สูญเสียรายได้ประมาณ1,900 – 2,000 ล้านบาทต่อเดือน และหากปรับลดลง 3 บาทต่อลิตร จะสูญเสียรายได้ประมาณ 5,000 – 6,000 ล้านบาทต่อเดือน แต่หากคงอัตราปรับลดไว้ที่ 5 บาทต่อลิตรเช่นเดิม จะทำให้สูญเสียรายได้ประมาณ 9,000 – 10,000 ล้านบาทต่อเดือน ทั้งนี้ หากรัฐบาลขยายอายุมาตรการถึงสิ้นปี 65 จะสูญเสียรายได้ประมาณ 6,000 – 30,000 ล้านบาท