ส่องมาตรการ ตปท.เร่งเบิกจ่ายเงินให้ SME | TDRI
เป็นที่ทราบกันดีว่า SME มีทรัพยากรที่จำกัดโดยเฉพาะเงินทุน ดังนั้น เงินทุนหมุนเวียนจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจชี้เป็นชี้ตายในการทำธุรกิจของ SME ในโลกของการค้าขายโดยสุจริตระหว่าง “ผู้ซื้อ” กับ “ผู้ขาย”เป็นการทำงานแบบพึ่งพาอาศัยกัน
แต่ก็เป็นเรื่องปกติเช่นกัน ที่ผู้ซื้อจะพยายามยืดระยะเวลาการจ่ายเงิน หรือกำหนดระยะเวลาการให้ "สินเชื่อการค้า" (credit term) ออกไปให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยเฉพาะหากเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ มีอำนาจต่อรองสูง จึงเป็นเรื่องยากที่ SME จะต่อรองได้ ส่งผลให้ SME ขาดสภาพคล่องสำหรับใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการทำธุรกิจต่อไป
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นกับ SME ทั่วโลกเช่นกัน ในต่างประเทศมีหน่วยงานรัฐเข้ามาช่วยเหลือ ด้วยการออกมาตรการที่ดีเพื่อช่วยแก้ไขปัญหานี้ ซึ่งมีเป้าหมายสำคัญคือ การเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน (cash flow) ให้แก่ SME
โดยอาจแบ่งได้ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มแรกเป็นมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายกรณีผู้ซื้อจาก SME เป็นหน่วยงานภาครัฐ กับอีกกลุ่มเป็นมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายจากผู้ซื้อที่เป็นบริษัทห้างร้านเอกชน
กลุ่มแรกที่เป็นการจัดซื้อจัดจ้างกับภาครัฐนั้น สหรัฐอเมริกามีกฎหมาย US Federal Prompt Payment Act (PPA) ที่กำหนดให้หน่วยงานรัฐต้องจ่ายเงินให้แก่คู่สัญญาหลักภายใน 14 วัน นับแต่วันที่ได้รับใบแจ้งให้ชำระหนี้ (invoice) โดยงวดสุดท้ายต้องจ่ายภายใน 30 วัน
กฎหมายฉบับนี้บังคับใช้สำหรับโครงการทั่วประเทศ ที่ใช้งบประมาณจากรัฐบาลกลางของสหรัฐอเมริกา และมีคู่สัญญาเป็น SME โดยพบว่ามีบางมลรัฐได้นำหลักการนี้ไปออกเป็นกฎหมายในระดับมลรัฐด้วย
ในขณะที่อินเดียมีกฎหมายบังคับใช้เฉพาะหน่วยงานรัฐให้ต้องชำระค่าสินค้า/บริการให้แก่ SME ภายใน 45 วัน หากล่าช้ากว่าที่กำหนด หน่วยงานจัดซื้อจัดจ้างต้องชำระดอกเบี้ยทบต้นในอัตรา 3 เท่าของอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง
กลุ่มที่สองเป็นการจัดซื้อจัดจ้างกันเองระหว่างภาคเอกชนด้วยกัน (B2B) สหราชอาณาจักรมีโครงการ Prompt Payment Code ภายใต้การดูแลของ UK Small Business Commissioner ซึ่งกำหนดให้บริษัทที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการต้องชำระหนี้ให้แก่คู่สัญญาในสัดส่วน 95% ของมูลค่าใบแจ้งหนี้ภายในระยะเวลา 60 วัน
และหากเป็นการซื้อจากกิจการที่มีการจ้างงานไม่เกิน 50 คน จะต้องชำระหนี้ภายใน 30 วัน บริษัทที่ลงนามต้องรายงานระยะเวลาการชำระสินเชื่อการค้าอย่างต่อเนื่อง และเปิดเผยเป็นข้อมูลสาธารณะที่สามารถตรวจสอบ ติดตาม และนำไปประมวลผลได้
ข้อมูลจากเว็บไซต์ของ UK Small Business Commissioner ในเดือนกรกฎาคม 2565 แสดงให้เห็นว่ามีธุรกิจที่สมัครใจลงนามเข้าร่วมโครงการนี้แล้วเกือบ 4 พันแห่ง
ส่วนสหรัฐอเมริกา นอกจาก PPA จะบังคับใช้กับหน่วยงานของรัฐแล้ว ยังใช้ครอบคลุมทั้งห่วงโซ่ของการจัดซื้อจัดจ้างที่ใช้งบประมาณของรัฐบาลกลาง โดยกำหนดให้การจ่ายเงินของคู่สัญญาหลัก (prime contractor) ไปสู่ผู้รับจ้างช่วง (subcontractor) และผู้ขายสินค้า (suppliers) ในลำดับต่อๆ ไปต้องดำเนินการภายใน 7 วัน
นับจากวันที่ได้รับชำระจากคู่สัญญาของตนเองในลำดับก่อนหน้า แต่มีเงื่อนไขว่าผู้ว่าจ้าง/ผู้ซื้อต้องยอมรับผลงานหรือสินค้าของผู้รับจ้าง/ผู้ขายแล้วด้วยเช่นกัน ในกรณีมีการชำระเงินล่าช้า จะมีบทลงโทษให้ผู้ว่าจ้างต้องจ่ายดอกเบี้ยทบต้นให้แก่คู่สัญญาด้วย
นอกจากมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่าย ยังมีอีกหนึ่งตัวอย่างที่น่าสนใจคือ สหรัฐอเมริกามีกลไกการติดตามและรายงานผล โดย Small Business Administration (SBA) เป็นหน่วยงานของรัฐบาลกลางทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ให้ SME
โดยการรับปัญหาที่เกิดจากการปฏิบัติตามกฎระเบียบภาครัฐไปหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และร่วมมือกับผู้ประกอบการ SME จัดทำข้อเสนอการปรับปรุงกฎระเบียบของภาครัฐเพื่อลดภาระให้แก่ SME
โดย SBA ต้องติดตามความก้าวหน้าของการผลักดันข้อเสนอให้หน่วยงานรัฐแต่ละแห่งนำไปดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมอีกด้วย และที่สำคัญคือ SBA มีหน้าที่ต้องรายงานผลการดำเนินงานให้รัฐสภาสหรัฐอเมริกาทราบทุกปี โดยที่รัฐสภา
มีอำนาจในการอนุมัติงบประมาณให้แก่หน่วยงานรัฐต่างๆ นั่นเอง กลไกนี้เหมือน “การเขียนเสือให้วัวกลัว”
สำหรับอินเดียมี Micro and Small Enterprises Facilitation Council (MSEFC) อยู่ภายใต้กระทรวง SME ทำอีกหน้าที่หนึ่งคือการรับเรื่องร้องเรียนจากผู้ขายที่เป็น SME และประสานไปยังหน่วยงานจัดซื้อจัดจ้างเพื่อติดตามการจ่ายเงินที่ล่าช้าและดูแลให้ SME ได้รับการชดเชยความเสียหายตามที่กฎหมายกำหนด
หากเปรียบเทียบกับประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า (สำนักงาน กขค.) ได้ออกประกาศ เรื่อง “แนวทางพิจารณาการปฏิบัติทางการค้าที่เป็นธรรมเกี่ยวกับระยะเวลาการให้สินเชื่อการค้า (Credit Term) กรณีผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เป็นผู้ขายสินค้าหรือบริการ” มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2564
กำหนดระยะเวลาให้ผู้ซื้อที่เป็นเอกชนต้องชำระเงินให้ SME ไม่เกิน 45 วัน กรณีที่เป็นการซื้อสินค้าหรือบริการทั่วไป และระยะเวลาไม่เกิน 30 วัน กรณีที่เป็นการซื้อสินค้าเกษตรหรือผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร แต่ก็ยังไม่มีการระบุหน่วยงานที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางประสานเพื่อแก้ปัญหาการเบิกจ่ายเงินล่าช้าให้ SME
สำนักงาน กขค. เป็นเพียงหน่วยงานที่พิจารณาบทลงโทษสำหรับผู้ซื้อที่จ่ายเงินให้ SME ช้ากว่าที่ควร ซึ่งเป็นโทษปรับทางปกครอง (เงินเข้ารัฐแต่ไม่เข้ากระเป๋า SME) แต่ไม่ได้มีหน้าที่ไปติดตามทวงถามหนี้ให้กับ SME
นอกจากนี้ เรายังไม่มีการจัดเก็บและเผยแพร่ฐานข้อมูล credit term ตามที่ปรากฏในสัญญาการจัดซื้อจัดจ้างกับระยะเวลาจริงที่มีการเบิกจ่ายเงินสำเร็จ ไม่ว่าลูกค้าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐหรือเอกชนก็ตาม เพื่อให้สำนักงาน กขค. และภาคประชาสังคมสามารถทำการตรวจสอบได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้นได้
หากเราออกข้อบังคับให้หน่วยงานรัฐชำระเงินให้คู่สัญญาหลักเร็ว และให้คู่สัญญาชำระเงินต่อให้คู่ค้าของเขาเร็วตามไปด้วย รวมทั้งมีการจัดทำและเผยแพร่ข้อมูล credit term ปัญหา “การดึงเช็ง” ชำระเงินให้ SME ก็น่าจะบรรเทาเบาบางลงไปได้บ้าง
ประเด็นนี้นับเป็นโจทย์สำคัญที่ทุกภาคส่วนจะมาช่วยกันหาคำตอบในการส่งเสริม SME ให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐและเอกชน
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของชุดบทความสร้างโอกาสให้แก่ SME ผ่านการจัดซื้อจัดจ้างภาคเอกชนภายใต้การศึกษา เรื่อง "แนวทางการสนับสนุนให้ SME เข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาคเอกชน (Corporate Procurement)" โดย ทีดีอาร์ไอ และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ในตอนต่อไปจะเป็นการถอดบทเรียนของต่างประเทศในการส่งเสริมให้ SME เข้าถึงตลาดจัดซื้อจัดจ้างภาคเอกชน.