'ชายฝั่งทรุด-น้ำทะเลรุก'เพิ่มความเสี่ยงข้าวอาเซียน

'ชายฝั่งทรุด-น้ำทะเลรุก'เพิ่มความเสี่ยงข้าวอาเซียน

ปัจจุบัน สถานการณ์ตลาดข้าวในอาเซียนมีการแข่งขันรุนแรงมากขึ้น เพราะในอาเซียน 10 ประเทศ มีทั้งประเทศที่เป็นผู้ผลิตข้าว อาทิ ไทย เวียดนาม เมียนมา กัมพูชา ลาว และมีทั้งประเทศที่ยังเพาะปลูกข้าวไม่เพียงพอจำเป็นต้องนำเข้าข้าว หรือเป็นประเทศผู้บริโภคข้าว

เว็บไซต์ข่าววอยซ์ ออฟ อเมริกา(วีโอเอ)นำเสนอบทความว่าด้วยการที่น้ำทะเลในบริเวณชายฝั่งกำลังรุกเข้ามายังพื้นที่ทำการเกษตรในหลายประเทศทั่วโลกว่า ทำให้พื้นดินและแหล่งน้ำปนเปื้อนไปด้วยความเค็ม และเป็นอันตรายต่อผลผลิตทางการเกษตร และในบางพื้นที่เช่น ในทวีบเอเชีย การรุกล้ำเข้ามาของน้ำเค็มทำให้ชาวนาบางคนแทบจะไม่สามารถปลูกข้าว ซึ่งเป็นอาหารหลักของภูมิภาคได้

“ปรัก ฮอน” ชาวนาคนหนึ่งในหมู่บ้านสลับ ดา ออน ซึ่งอยู่ติดกับชายทะเล ห่างจากกรุงพนมเปญ เมืองหลวงของกัมพูชาไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 150 กิโลเมตร บอกว่าสองปีที่ผ่านมา น้ำทะเลได้ทำลายนาข้าวของชาวนาในหมู่บ้าน จนทำให้เขาและชาวนาคนอื่นๆเริ่มไม่แน่ใจว่าจะสามารถปลูกข้าวได้อีกหรือไม่ในอนาคต

ปรัก บอกว่า “หลังจากปักดำต้นกล้าไปในนาข้าว สีของต้นกล้าเปลี่ยนเป็นสีแดง ก่อนที่จะตายในที่สุด เพราะดินมีความเค็ม จนทำให้ต้นกล้าไม่สามารถเติบโตได้”

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ทำให้พื้นที่บริเวณชายฝั่งหลายแห่งทั่วโลกทรุดตัว และเกิดปรากฎการณ์น้ำทะเลหนุน

น้ำทะเลทำให้พื้นดินและแหล่งน้ำจืดบนฝั่งปนเปื้อนไปด้วยเกลือ ส่งผลต่อกิจกรรมการเกษตร ในทวีปเอเชีย ความเค็มที่เพิ่มสูงขึ้นส่งผลเสียต่อหลายพื้นที่ชายฝั่งที่เป็นพื้นที่ปลูกข้าวของชาวนา พืชผลการเกษตรหลักของภูมิภาค          

“บีเยิร์น โอเล ซานเดอร์” ผู้เชี่ยวชาญประจำสถาบันวิจัยข้าวระหว่างประเทศ(ไออาร์อาร์ไอ) ที่ฟิลิปปินส์ กล่าวว่าข้าวเป็นพืชที่่สำคัญต่อความมั่นคงด้านอาหารในเอเชีย ข้าวเป็นอาหารหลักของผู้คนมากกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรโลก และยังคิดเป็นกว่า 30% ของพลังงานจากอาหารที่มีการบริโภคในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งหลายคนกินข้าวทุกวันในทุกมื้ออาหาร”

เวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสามของโลก ความเค็มกำลังเปลี่ยนสภาพของพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขงอย่างรวดเร็ว ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำชายฝั่ง และเป็นพื้นที่ที่ใช้ปลูกข้าวมากกว่าครึ่งหนึ่งของผลผลิตข้าวทั้งหมดในเวียดนาม
 

 “โก วาน หวัน” กล่าวว่าน้ำทะเลได้ทำลายนาข้าวของเขาในจังหวัดลองอัน ในเวียดนามและหากมีน้ำจืด ก็จะสามารถปลูกข้าวได้ตลอดทั้งปี แต่เมื่อไม่มีน้ำจืดก็ไม่สามารถปลูกอะไรได้

 บรรดาผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า รัฐบาลเวียดนามวางแผนปรับกิจกรรมการเกษตรเพื่อรับมือกับปัญหาความเค็มนี้ ด้วยการลดการปลูกข้าว และเปลี่ยนไม่ให้มีการใช้พื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขงปลูกข้าวราคาถูกจำนวนมากเพียงอย่างเดียว ซึ่งอาจจะเป็นข่าวร้ายสำหรับประเทศอื่น

 ซานเดอร์ ให้ความเห็นว่า “ข้าวที่เวียดนามส่งออก ส่วนใหญ่ได้มาจากข้าวที่เพาะปลูกในบริเวณลุ่มแม่น้ำโขง ซึ่งหมายความว่า ประเทศผู้นำเข้าข้าวจากเวียดนาม เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และบางประเทศในทวีปแอฟริกา ต้องได้รับผลกระทบจากผลของการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและปัญหาความเค็มของดินในบริเวณลุ่มแม่น้ำโขงด้วยเช่นกัน

ไออาร์อาร์ไอ ประเมินว่าการผลิตข้าวทั่วโลกจะต้องเพิ่มขึ้นทุกปีเพื่อที่จะทำให้มีข้าวเพียงพอ ในปริมาณที่จะทำให้ข้าวมีราคาที่ผู้คนหลายพันล้านคนสามารถซื้อหาได้ ขณะเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกและกิจกรรมของมนุษย์ก็มีแต่จะทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น และทำให้ชายฝั่งทรุดลง

เมื่อย้อนกลับมาดูที่หมู่บ้าน คนในพื้นที่ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่รู้ว่าจะต้องแก้ปัญหาอย่างไร  ทั้งยังบอกว่ารู้สึกกลุ้มใจกับปัญหาพายุฝน น้ำท่วม และการรุกล้ำของน้ำเค็ม ที่เกิดขึ้นทุกปี ที่มีแต่จะเป็นผลร้ายต่อนาข้าวของเขาและชาวบ้านคนอื่น ๆ

อย่างไรก็ตาม ในฤดูการทำนาปีนี้ ชาวนาอย่างปรักสูญเสียเงินไปเป็นจำนวนมากกับการเพาะปลูกต้นกล้า ที่ต้องมาตายเพราะน้ำเค็ม และเมื่อดูเหมือนว่าปัญหาน้ำเค็มนี้จะยังคงเกิดขึ้นทุก ๆ ปี เขาเองก็ไม่แน่ใจว่า ในฤดูกาลหน้า เขาควรจะปลูกข้าวเหมือนเดิมได้อีกหรือไม่