“กกร.”ชู“ท่องเที่ยว”รับแรงเหวี่ยง เชิงลบเศรษฐกิจโลก
กกร.ประเมินเศรษฐกิจโลกอาจชะลอตัวกว่าที่คาด จากแรงกดดันเงินเฟ้อ วิกฤตพลังงาน ภัยแล้งในจีน ยังมั่นใจเศรษฐไทยได้แรงส่งจากท่องเที่ยว มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
คณะกรรมการร่วม 3 สถาบัน หรือกกร. ประกอบด้วย สมาคมธนาคารไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.)มีกำหนดการประชุมร่วมกันทุกเดือนเพื่อประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจก่อนส่งสัญญาณออกมาตอนนี้เศรษฐกิจประเทศไทยอยู่ในสถานะอย่างไร
ผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดภายหลังการประชุมกกร.ว่า เศรษฐกิจไทยยังขยายตัวได้จากการเปิดประเทศ การท่องเที่ยวและการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศที่ตามมาแต่จำเป็นต้องติดตามสถานการณ์ตลาดต่างประเทศที่ชะลอตัวอย่างใกล้ชิด
ดังนั้นที่ประชุมเห็นควรให้คงประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2565 ซึ่งจะขยายตัวได้ในกรอบ 2.75% - 3.5% ขณะที่มูลค่าการส่งออกคาดว่ายังขยายตัวได้ในกรอบ 6.0% - 8.0% และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในกรอบ 5.5% - 7.0% อย่างไรก็ตาม ต้องจับตาเศรษฐกิจโลกที่กำลังมีความเสี่ยงที่จะชะลอตัวกว่าที่คาดซึ่งจีดีพีของประเทศสำคัญๆทั้งสหรัฐ ยุโรป และจีน ถูกปรับลดลง ขณะที่เศรษฐกิจยุโรปได้เข้าสู่ภาวะถดถอยในครึ่งปีหลังจากแรงกดดันของเงินเฟ้อที่สูงขึ้นจนในหลายประเทศอาจเกิดภาวะ stagflation
นอกจากนี้ ความเสี่ยงที่จะทำให้เศรษฐกิจโลกขยายตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์มีเพิ่มขึ้นจากความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ล่าสุดเป็นการระงับส่งก๊าซชั่วคราวของรัสเซียซึ่งเพิ่มแรงกดดันต่อวิกฤติพลังงานในยุโรป ปัญหาด้าน supply chain ในประเทศจีนจากการขาดแคลนพลังงานที่มีเหตุจากภัยแล้ง รวมถึงการล็อกดาวน์ที่ทำให้มีผลลบต่อภาคการผลิต ปัจจัยเหล่านี้เพิ่มแรงกดดันด้านเงินเฟ้อและการชะงักงันของห่วงโซ่อุปทานโลกซึ่งต้องติดตามเพื่อประเมินผลกระทบต่อการส่งออกของ ไทยในระยะข้างหน้า
ขณะที่ค่าเงินบาทกลับมาอ่อนค่าลง ส่งผลให้ราคาสินค้านำเข้าของไทยยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องและการนำเข้าสินค้าเพื่อการผลิตลดลง ราคาน้ำมันที่ยังอยู่ในระดับสูง และค่าไฟฟ้าที่ปรับขึ้นในเดือนก.ย. รวมทั้งการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำยิ่งเป็นแรงกดดันต่อการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อในประเทศ
อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวด้านการท่องเที่ยวและมาตรการภาครัฐเป็นแรงส่งเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปี โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติในเดือนก.คอยู่ที่ 1.12 ล้านคน คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งปี 2565 มีโอกาสแตะระดับ 9 - 10 ล้านคน และในระยะข้างหน้ายังจะได้อานิสงส์จากการขยายเวลาวีซ่านักท่องเที่ยวเป็น 45 วัน ประกอบกับยังมีแรงหนุนกำลังซื้อจากมาตรการคนละครึ่งระยะที่ 5 ซึ่งจะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจภายในประเทศท่ามกลางภาวะความเสี่ยงหลายประการ อย่างไรก็ดีต้องติดตามการใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวที่ลดลงกว่าเดิม
ทั้งนี้ ที่ประชุมกกร. มีความกังวลในเรื่องต้นทุนของภาคธุรกิจ ที่จะเพิ่มขึ้นในระยะข้างหน้า ได้แก่ 1.การปรับขึ้นค่าไฟฟ้าจาก 4 บาท เป็น 4.72 บาทต่อ หน่วย ที่จะมีผลบังคับใช้ ในรอบเดือนก.ย.-ธ.ค. 2565 จะส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน และต้นทุนการประกอบการ โดยภาคอุตสาหกรรมมีต้นทุนค่าไฟฟ้าเฉลี่ย 20 - 30 % ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด และในส่วนของภาคบริการ เช่น ธุรกิจโรงแรม มีต้นทุนค่าไฟฟ้าเฉลี่ยเกือบ 30% ของต้นทุนทั้งหมด
2. การปรับขึ้นค่าธรรมเนียม FIDF ของธนาคารแห่งประเทศไทย ตั้งแต่เดือนม.ค. 2566 ที่จะส่งผ่านไปยังอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้สูงขึ้น ภายใต้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
3. ต้นทุนด้านแรงงาน จากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่มีความแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ ตั้งแต่ 8-22 บาทต่อวัน ที่จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ต.ค. 2565 และรวมถึงการขาดแคลนแรงงานที่เป็นปัญหาสำคัญของภาคธุรกิจซึ่งต้นทุนที่สูงขึ้น จะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของภาคธุรกิจที่ยังมีความเปราะบาง
ที่ประชุมกกร.จึงขอเสนอให้ภาครัฐพิจารณาอย่างถี่ถ้วนและรอบคอบในการปรับขึ้นปัจจัยต้นทุนที่ส่งผลกระทบต่อการประกอบการอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเฉพาะการปรับขึ้นค่าไฟฟ้า ขอให้ทยอยการปรับขึ้นอัตราค่าไฟฟ้าออกเป็น 2 ระยะ แทนการปรับขึ้นครั้งเดียว เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบของประชาชนและผู้ประกอบการจากวิกฤตความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่ทำให้ผู้ประกอบการต้องแบกรับภาระต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง รวมทั้งควรรับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชน ที่ได้รับผลกระทบเพื่อออกมาตรการบรรเทาผลกระทบจากต้นทุนการประกอบการดังกล่าว
ที่ประชุมกกร.ยังย้ำถึงเรื่องการปฏิรูปกฎหมายใหม่ 2 ฉบับที่ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาแล้ว ซึ่งเป็นกฎหมายที่ช่วยส่งเสริมการดำเนินธุรกิจ ได้แก่ พ.ร.บ.การปฏิบัติราชการทางอีเล็กทรอนิกส์ ที่กำหนดให้ประชาชนสามารถติดต่อ และยื่นเอกสาร / คำร้องต่างๆ ทางอีเล็กทรอนิกส์ได้ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของภาครัฐ และพ.ร.บ.การปรับเป็นพินัย ที่เปลี่ยนความผิด ที่เป็นคดีอาญาให้ไม่เป็นความผิดทางอาญาอีกต่อไป ทำให้ประชาชนที่ทำความผิดเล็กน้อย ยังถูกลงโทษปรับ แต่ไม่นับเป็นคดีอาญาและไม่มีประวัติอาชญากรรม
นอกจากนี้คณะรัฐมนตรี ได้เห็นชอบในหลักการให้แก้ไขพ.ร.บ.การอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของราชการ พ.ศ. 2558 ที่เสนอโดยคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ที่จะปรับปรุงการขออนุญาตต่างๆ