“สนธิรัตน์” เสนอนโยบาย 4 โซลาร์ แก้ค่าไฟแพง สร้างความมั่นคงด้านพลังงาน
“สนธิรัตน์” เสนอนโยบาย 4 โซลาร์ แก้ปัญหาค่าไฟแพง ชี้ รัฐบาลบริหารงานล้มเหลวประชาชนต้องจ่าย “ค่าไฟ-แก๊ส” แพง ย้ำหาก “พรรคสร้างอนาคตไทย” ได้เข้ามาบริหารพร้อมสานต่อนโยบายที่เคยดำเนินงานมา ช่วยประชาชนผ่านพ้นวิกฤติพลังงานได้ทันที
ดร.อุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย และอดีตรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ขณะนี้ ค่าครองชีพถือเป็นส่วนปัจจัยสำคัญหนึ่งที่ประชาชนจะได้รับผลกระทบเป็นหลัก และเป็นความกังวลของประชาชน ซึ่งส่วนหนึ่งของค่าครองชีพและค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันก็คือ ค่าไฟฟ้า ค่าก๊าซหุงต้มภาคครัวเรือน และค่าน้ำมัน
ทั้งนี้ พรรคสร้างอนาคตไทย จึงออกมาชำแหละเป็นข้อมูลที่หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชนร่วมถึงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง และคิดว่าน่าจะต้องมีบทบาทในการดูแลประชาชน ผู้ประกอบการในเวลาซึ่งประเทศกำลังสูญเสียกับวิกฤตเศรษฐกิจในภาวะปัจจุบันที่นโยบายพลังงานมีผลต่อพี่น้องประชาชนอย่างมากกับเศรษฐกิจไทยทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
“ความมั่นคงทางพลังงานถือเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศให้ยั่งยืน แล้ววันนี้เรามั่นใจได้หรือยังว่าประเทศไทยมีความมั่นคงด้านพลังงานและมีความมั่นใจได้หรือไม่ที่เศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัว” ดร.อุตตม กล่าว
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย และอดีตรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า พรรคมองว่าสถานะการณ์ค่าครองชีพและสภาวะเศรษฐกิจหลังจากนี้ไปจนถึงวันเลือกตั้งถ้าเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จะทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า ทั้งนี้ หากปล่อยให้ค่าครองชีพและสถานการณ์การเงินประเทศเป็นแบบนี้ประชาชนจะลำบากมาก
สำหรับหัวใจใหญ่สำคัญที่สุดในขณะนี้คือค่าไฟฟ้า ซึ่งต้องใช้ทุกครัวเรือน ทุกบ้านที่ประชาชนต้องแบกภาระค่าไฟฟ้าหลังแอ่น จากการที่เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้แถลงข่าวว่าประชาชนจะไม่เห็นค่าไฟต่ำกว่า 4 บาทต่อหน่วยอีกต่อไปแล้ว ซึ่งประชาชนจะยอมจำนนต่อสิ่งนี้หรือไม่
"วันนี้ค่าไฟที่แบบอยู่มาจากค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) โดยสมัยตนเป็นรัฐมนตรีค่า Ft ติดลบ จึงทำให้ค่าไฟฟ้าของประชาชนถูกลง แต่ตอนนี้ทะลุไปจนถึง 60-70 สตางค์ต่อหน่วย"
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้อัตราค่าไฟฟ้าแพงเกิดจากราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น โดยประเทศไทยใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นหลักในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งหากมองย้อนกลับมาจะพบว่า ความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านจากโรงงานไฟฟ้าของรัฐไปสู่เอกชนในอัตรา 31% เท่ากัน ซึ่งการนำเข้าราคาแพงจึงทำให้ต้นทุนแพงด้วย อีกทั้งการผลิตก๊าซฯ ในอ่าวไทยกลับนำไปใช้ในกลุ่มอุตสาหกรรม และเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนมากกว่า ดังนั้น ควรที่จะเก็บเงินจากเอกชนให้สูงขึ้น มากกว่าแค่การเก็บภาษี
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังติดปัญหาพันธะสัญญาปริมาณการผลิตไฟฟ้าตารมสัญญา 51,828 เมกะวัตต์ แต่ปริมาณการใช้ไฟฟ้าช่วงพีคสูงสุดอยู่อที่ 37,177 เมกะวัตต์ ในช่วงวันที่ 28 เม.ย. 2565 มีส่วนเกินอยู่ประมาณ 36% ของกำลังการผลิตตามสัญญา ขณะที่วันปกติจะลงมาอยู่ที่ 20,000 กว่าเมกะวัตต์ นั่นแปลว่าประชาชนจะต้องแบกภาระค่าพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตเกิดมาเป็นจำนวนมากกว่า 50% ในบางวันที่ไม่ได้มีการใช้งานจากสัญญาที่รัฐบาลทำไว้
ขณะเดียวกันอัตราส่วนของพลังงานก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยลดลงเป็นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีหลังมานี้ เนื่องจากการเปลี่ยนผ่านแหล่งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยอย่างแหล่งเอราวัณ ซึ่งขณะนั้นที่ตนเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ก็ได้ส่งสัญญาณรัฐบาลกำลังจะประสบปัญหาเกี่ยวกับก๊าซธรรมชาติต่าง ๆ แล้ว แต่ปรากฏว่ารับบาลขณะนี้ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาในช่วงเปลี่ยนผ่านไปได้อย่างราบรื่น
“ก่อนหน้านี้แหล่งเอราวัณผลิตได้ถึง 900 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน แต่เมื่อเกิดช่วงเปลี่ยนผ่านผู้รับสัมปทานและไม่สามารถตกลงกันได้ ส่งผลให้ปัจจุบันกำลังผลิตก๊าซธรรมชาติอยู่แค่ 300 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันเท่านั้น เมื่อกำลังผลิตลดลงก็ต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากต่างประเทศที่ราคาเพิ่มสูงขึ้น ก็ทำให้ประชาชนก็ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายสูงขึ้นเช่นกัน ส่วนตัวมองว่าการบริหารการเปลี่ยนผ่านพลังงานของรัฐบาลในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเป็นการบริหารที่ล้มเหลว” นายสนธิรัตน์ กล่าว
นอกจากนี้ เมื่อราคาก๊าซธรรมชาติเพิ่มมากสูงขึ้น ค่าสินค้าก็พุ่งสูงขึ้นเช่นกันแทบทุกกลุ่มอุตสาหกรรม อีกทั้ง ผู้ประกอบการที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับอาหารที่ต้องใช้ก๊าซหุงต้ม LPG ในการปรุงอาหารต่างได้รับภาระนี้ตามไปด้วยจนขณะนี้ราคาพุ่งไปด้วย และคาดว่าปัญหาราคาพลังงานจะยังคงสูงขึ้นแบบนี้ไปจนกว่าจะจบฤดูหนาว
"การที่รัฐบาลบริหารผิดพลาดแบบนี้ ประกอบกับราคาที่เพิ่มสูงขึ้นใครได้ประโยชน์ และใครจะเป็นคนรับผิดชอบ รวมถึงรัฐบาลมีการได้วางแผนเพื่อเตรียมความพร้อมในส่วนนี้หรือไม่ ซึ่งถ้าหากพรรคสร้างอนาคตไทย ได้เข้าไปบริหารจัดการจะไม่เกิดปัญหาแบบนี้ขึ้นแน่นอน อีกทั้ง รัฐบาลจะต้องหยุดกลไกการบริหารพลังงานแบบเดิม ๆ เพราะพลังงานจะเป็นกลไกที่จะทำให้เศรษฐกิจพังทั้งระบบ วันนี้กระทรวงพาณิชย์ยังคงทำงานแบบเดิม ๆ อยู่หรือไม่ การทำงานวันนี้ของรัฐบาลคงต้องยืมคำว่าแพงทั้งแผ่นดินมาใช้”
นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า เพื่อแก้ปัญหาราคาพลังงานแพง พรรคสร้างอนาคตไทยจึงอยากเสนอนโยบาย 4 โซลาร์ ประกอบด้วย
1. โซลาร์รูฟท็อป โดยการสนับสนุนให้ประชาชนติดพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาเรือน สร้างรายได้ลดรายจ่ายให้ประชาชน
2. โซลาร์ฟาร์มบนมิติโรงไฟฟ้าชุมชน โดยผสมผสานพละงงานเกษตรและแสงอาทิตย์ 3. โซลาร์สูบน้ำบาดาลทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนมีน้ำทำเกษตรด้วยแสงอาทิตย์ และ
4. โซลาร์ลอยน้ำ ที่จะช่วยเพิ่มพลังงานให้เป็นของรัฐ ผ่านการติดตั้งบนเขื่อนต่าง ๆ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
ดร.สันติ กีระนันทน์ รองหัวหน้าพรรค และประธานนโยบาย กล่าวว่า แม้ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT จะเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่กระทรวงการคลังยังถือหุ้น 51.11% สามารถมีบทบาทเข้ามาช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ยากให้ประชาชนได้ โดยปตท.ซึ่งถือหุ้นโรงกลั่นน้ำมัน 3 แห่งครองสัดส่วนการตลาดกว่า 80% และหากพิจารณาจากกำไรของโรงกลั่นที่ปตท.ถือหุ้นอยู่ พบว่าในปี 2564 มีกำไรรวมกันถึงกว่า 72,000 ล้านบาท ขณะที่ครึ่งแรกปี 2565 มีกำไรกว่า 43,000 ล้านบาท เท่ากับมีกำไรเกินกว่าครึ่งหนี่งของปี 2564 มาก
“ปตท.กำหนดในยุทธศาสตร์ว่า จะต้องมีธรรมาภิบาลเพื่อประโยชน์ของสังคมทุกภาคส่วน ตั้งแต่ระดับชุมชน และประเทศ จึงขอเรียกร้องรัฐบาลใช้กลไกการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ให้ปตท.หันมาดูแลช่วยเหลือประชาชนโดยอย่ามองแต่กำไรสุงสุด ต้องลดกำไรลงเพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนประชาชนด้วย” ดร.สันติ กล่าว