ผ่าปฎิบัติการ ‘ถล่ม’ หุ้น MORE ป่วนวงการตลาดทุนหนัก

ผ่าปฎิบัติการ ‘ถล่ม’ หุ้น MORE ป่วนวงการตลาดทุนหนัก

หุ้น MORE ป่วนวงการตลาดทุนหนัก หลังขาใหญ่โยนออเดอร์มูลค่ากว่า 4.3 พันล้าน ท่ามกลางกระแสข่าวไม่สามารถชำระราคาได้ ภาระทั้งหมดตกกับโบรกเกอร์ เร่งขอหน่วยงานรัฐเข้าดูแล เหตุหากปล่อยไว้บางโบรกอาจล้มได้

จากเหตุการณ์ซื้อขายหุ้นบริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ MORE ล็อตใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์เมื่อวันที่ 10 พ.ย.ที่ผ่านมานั้น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) ร่วมกับโบรกเกอร์ ได้ลงมาตรวจสอบในทันที
พบว่าพฤติกรรมการซื้อขายมีความผิดปกติ เนื่องจากในช่วงเปิดตลาดวันนั้น มีการตั้งคำสั่งซื้อ ATO หุ้น MORE ที่ระดับราคา 2.90 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาที่สูงผิดปกติอย่างมีนัยสำคัญ เพราะราคาปิดตลาด 9 พ.ย. 65 อยู่ที่ 2.78 บาทต่อหุ้น แต่วันนั้นมีคำสั่งซื้อเข้ามาจำนวน 1,531.77 ล้านหุ้น คิดเป็นเงินกว่า 4,442 ล้านบาท

ตลาดหลักทรัพย์และก.ล.ต.จึงเข้าไปตรวจสอบ โดยการไล่ดูทรานแซคชั่น ทั้งจากฝั่งโบรกเกอร์ที่ตั้งขาย 2 แห่ง และ โบรกเกอร์ที่คีย์คำสั่งซื้ออีกกว่า 10 แห่ง ก็พบว่า ธุรกรรมทางฝั่งซื้อมาจากคนเพียงเดียว ซึ่งก็คือนายอภิมุข บำรุงวงศ์ ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 4 ของ MORE ขณะที่ผู้ขายนั้นจากการตรวจสอบพบว่าเป็น นายอมฤทธิ์ กล่อมจิตเจริญ ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่ง MORE
ตลาดหลักทรัพย์ยังตรวจสอบลึกไปอีกว่า ทำไมนายอภิมุข จึงสามารถคีย์คำสั่งซื้อหุ้นได้เยอะขนาดนั้น ก็พบว่า ย้อนไปเมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา นายอภิมุข ได้เปิดพอร์ตกับโบรกเกอร์ที่เสียหายต่างๆ โดยใช้หุ้นของ MORE เป็นหลักประกัน ซึ่งราคาหุ้น MORE ที่ขยับเพิ่มขึ้นมามากในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา หรือจาก 0.15 บาท มาที่เกือบ 3 บาท ทำให้นายอภิมุข ได้วงเงินในการเทรดจากโบรกเกอร์แห่งละ 300-500 ล้านบาทเลยทีเดียว
14พ.ย.เคลียริ่งค่าหุ้น-โบรกนั่งไม่ติด

ขณะที่ในวันจันทร์ 14 พ.ย. 2565 นี้ จะต้องมีการชำระเงิน (เคลียริ่ง) ที่จะครบดีล T+2 และด้วยมูลค่าเงินก้อนโต โบรกเกอร์ผู้เสียหายคาดว่า “ผู้ส่งคำสั่งซื้อ” คงไม่สามารถชำระราคาได้ หากเป็นเช่นนั้นโบรกเกอร์ต้องเป็นผู้รับผิดชอบธุรกรรมครั้งนี้ทั้งหมด มีการประเมินค่าเสียหายจะอยู่ที่ราว 3 พันล้านบาท
อย่างไรก็ตามหากปล่อยให้การเคลียริ่งเกิดขึ้น เชื่อว่าจะคงมีหลายโบรกถึงขั้นเสี่ยงล้มละลายถูกลบชื่อออกจากระบบอย่างแน่นอน ขณะที่ความผิดของ นายอภิมุข อาจจะแค่ “คีย์ออเดอร์ผิด” ส่งผลให้ไม่มีเงินจ่ายโบรกเกอร์ เต็มที่โบรกเกอร์ก็แค่ไล่ฟ้องกลายเป็นบุคคลล้มละลายอยู่ไม่กี่ปี แต่ไม่ถึงขั้นติดคุกติดตะราง
โบรกยอมถูกฟ้องขอแค่ระงับออเดอร์
อย่างไรก็ตาม ความเสียหายที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ถือว่าสูงมาก ฉะนั้นโบรกเกอร์จึง “ไม่ยอม” ปล่อยผ่าน ยอมอายดีกว่าเสียเงิน ! โบรกเกอร์ที่เสียหายจึงรวมตัวกันไปพบกับทางตลาดหลักทรัพย์ และ ก.ล.ต. เพื่อให้หยุด! ธุรกรรมคำสั่งซื้อขายหุ้น MORE ทั้งหมด!
แต่เบื้องต้นทางตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ยอมให้ยกเลิกคำสั่งซื้อขายดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่า จะส่งผลกระทบไปยังลูกค้ารายอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องด้วย เพราะว่ามีการซื้อหุ้นต่อๆ กันไปเป็นลูกโซ่แล้ว ส่วนทาง ก.ล.ต. ก็พิจารณาว่าเป็นเรื่องระหว่างโบรกเกอร์กับลูกค้าเอง และเป็นความประมาทของโบรกเกอร์เท่านั้น
ทว่า จากการชี้แจงให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ เห็นว่าประเด็นดังกล่าวเข้าความผิด พ.ร.บ. หลักทรัพย์ในแง่ของการเจตนาบิดเบือนราคาและปริมาณการหลักทรัพย์แล้ว ซึ่งประเด็นดังกล่าวอาจมีผู้ประมาทร่วมที่เป็นรายอื่นด้วยนอกจากเหล่าบรรดาโบรกเกอร์ เพราะวันนั้นราคาที่กะพริบ 2.90 บาท จำนวน 1,500 ล้านหุ้น ซึ่งถูกส่งคำสั่งซื้อมานั้นมีนัยสำคัญของการเปลี่ยนแปลงทั้งมูลค่าและราคา ซึ่งระบบ AI ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องตรวจเจอแน่นอนว่ามีการส่งคำสั่งซื้อไม่ปกติ รวมทั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องเห็นแน่นอนว่าคำสั่งซื้อเหล่านี้ถูกส่งมาจากบัญชีเดียวกันจากทุกโบรกเกอร์และเป็นชื่อเดียวกันอีกด้วย แต่ทำไมจึงไม่สอบถามไปทางโบรกเกอร์ว่าเกิดอะไรขึ้น
ประกอบกับเมื่อวันที่ 12 พ.ย. มีการประชุมของระดับ “ซีอีโอ บริษัทหลักทรัพย์” ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี งานนี้เหล่า ซีอีโอ จึงขอประชุมด่วนร่วมกับผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งได้มีข้อสรุปร่วมกันว่า โบรกเกอร์ผู้เสียหายยินดีที่จะถูกฟ้องร้อง ขอแค่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เบรกคำสั่งซื้อหุ้น MORE จำนวน ,1531 ล้านหุ้น ที่ นายอภิมุข ส่งคำสั่งซื้อไปแล้วแมทกับบัญชีโบรกเกอร์ไหน ซึ่งหากมีความเสียหายลูกค้าฟ้องร้องโบรกเกอร์จะเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด
ทั้งนี้ จากข้อสรุปเบื้องต้นกับทางตลาดหลักทรัพย์ฯ อาจจะมีการเบรกคำสั่งซื้อหุ้น MORE ไว้ก่อน โดยตอนนี้อยู่ระหว่างการรอเซ็นกับทางตลาดหลักทรัพย์ฯ ก่อน คาดว่าจะเป็นวันนี้ (14 พ.ย.) ก่อนครบดีล T+2 ที่ต้องชำระเงินช่วงเวลา 11.00 น. และจ่ายเงินผู้ขายเวลา 14.00 น. ซึ่งจะเป็นการเซ็นทุกโบรกเกอร์ที่เสียหาย(ฝั่งผู้ซื้อ) และโบรกเกอร์ที่ไม่เสียหาย(ฝั่งผู้ขาย)
ด้าน แหล่งข่าววงการโบรกเกอร์ กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า เมื่อวันที่ 12 พ.ย.ที่ผ่านมา นายอภิมุข ได้ให้คนสนิทโทรมาเคลียร์ เพื่อขอแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยจะจ่ายเงินทั้งหมด แต่ขอเวลาประมาณ 2-3 วัน ซึ่งโบรกเกอร์ต้องจ่ายเงินค่าหุ้นไปให้ผู้ขายก่อน แต่ไม่มีโบรกเกอร์รายไหนไปเจรจาด้วย รวมทั้งตอนนี้เรื่องไปถึงขึ้นการฟอกเงิน และ ความผิดพ.ร.บ.หลักทรัพย์แล้ว
ดังนั้นหากตลาดหลักทรัพย์ฯ ยินยอมเบรกคำสั่งซื้อหุ้นล็อตดังกล่าวไว้ก่อน ทางโบรกเกอร์ฝั่งขายหุ้นก็จะไม่ได้รับเงินเพื่อจะไปจ่ายต่อให้ผู้ขาย
‘4องค์กร’ ถกระงับออเดอร์หุ้น MORE
แหล่งข่าววงการโบรกเกอร์ เปิดเผยว่า เช้าวานนี้้(13พ.ย.) องค์กรที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็น สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ  ก.ล.ต. ได้เรียกประชุมด่วนเพื่อหาข้อยุติของปัญหาที่เกิดขึ้นกับหุ้น  MORE
จากการประชุมได้ข้อสรุปในเบื้องต้นว่าจะระงับคำสั่งซื้อขายหุ้นที่มีปัญหาทั้งหมด 1,500 หุ้น เอาไว้ก่อน จนกว่าจะพิสูจน์ได้ชัดเจนว่าธุรกรรมการซื้อและขายดังกล่าวมีความสุจริต ขณะเดียวกันในวันจันทร์ที่ 14 พ.ย.นี้ ตลาดหลักทรัพย์อาจพิจารณาระงับการซื้อขายหุ้น MORE เอาไว้ก่อนเพื่อป้องกันปัญหาต่างๆ ที่อาจจะตามมาอีกในระยะข้างหน้า
ผู้เสียหายรุดฟ้อง‘ดีเอสไอ’
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวานนี้นักลงทุน โบรกเกอร์ ที่ได้รับความเสียหาย ได้เข้าหารือร่วมกับ สำนักงานก.ล.ต. และเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ซึ่งเป็นการหารือกันภายใน ที่อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถนนรัชดาภิเษกด้วย
โดยหนึ่งในผู้เสียหาย เปิดเผยให้ฟังว่า เป็นการนัดหมายเพื่อศึกษาแนวทางร่วมกันระหว่างสำนักงาน ก.ล.ต. และดีเอสไอ ในการแจ้งความดำเนินคดี ในคดีตามความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน และตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ ซึ่งทางกลุ่มผู้เสียหายยืนยันว่า จะต้องดำเนินคดี เพราะผู้เสียหายมีมากกว่า 10 ราย และเป็นการฉ้อโกงประชาชนที่เป็นอาญาแผ่นดิน
ซึ่งขณะนี้พบว่า มีผู้เสียหายประมาณ 14 โบรกเกอร์แล้ว โดย 11 โบรกเกอร์ประกาศตัวออกมาชัดเจนว่าเป็นผู้เสียหายจากการเข้าซื้อหุ้น MORE ส่วนอีก 3 โบรกเกอร์ ยังไม่ประกาศตัวออกมา จากโบรกเกอร์ที่เกี่ยวข้องกับหุ้น MORE ทั้งหมด 20 โบรกเกอร์ ทั้งฝั่งซื้อและฝั่งขาย มูลค่าความเสียหายขณะนี้รวมกว่า 4,500 ล้านบาท
และเบื้องต้นทราบข้อมูลว่า ทางบริษัท มอร์ฯ ได้เข้าไปพูดคุยกับกลุ่มผู้เสียหายล่าสุดเมื่อวันที่ 12พ.ย. โดยมีการหารือว่าจะขอผ่อนจ่าย แต่ไม่ได้ให้ความชัดเจนว่าจะผ่อนจ่ายแบบไหนยังไง เป็นระยะเวลาและจำนวนเท่าไร จึงมองว่า มูลค่ากว่า 4,500 ล้าน คงไม่สามารถผ่อนจ่ายได้ และผู้เสียหายหายยังให้ข้อมูลอีกว่า ทางบริษัทมอร์จะขอจ่ายค่าขายให้กับผู้ขาย ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจจะในก๊วนเดียวกันหรือไม่
ทั้งนี้ก็ต้องการให้ดีเอสไอดำเนินการ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้เกี่ยวข้องในบริษัทมอร์ออกนอกประเทศด้วย