SCB ชี้อานิสงส์ ‘ท่องเที่ยว’ ดันจีดีพีโต 3.2%

SCB ชี้อานิสงส์ ‘ท่องเที่ยว’ ดันจีดีพีโต 3.2%

ไทยพาณิชย์ปรับเพิ่มจีดีพีไทยปีนี้เป็น 3.2% จากแรงหนุนของภาคการท่องเที่ยว รวมถึงการบริโภคภาคเอกชนที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง ขณะที่ปีหน้าปรับลดจีดีพีเหลือโต 3.4% จากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัวภายใต้ความไม่แน่นอนสูง กระทบการส่งออกและการลงทุน

รองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงาน Economic Intelligence Center หรือ EIC ดร. สมประวิณ มันประเสริฐ ระบุ EIC ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2565 เป็น 3.2% จากเดิม 3% จากแรงส่งการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง รวมถึงการบริโภคภาคเอกชนที่ได้รับอานิสงส์จากภาคการท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวข้อง รวมถึงรายได้แรงงานที่ปรับตัวดีขึ้น 

สำหรับปี 2566 EIC ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยเป็น 3.4% จากเดิม 3.7% ตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลงมากภายใต้ความไม่แน่นอนที่สูงขึ้น บางประเทศหลักจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ส่งผลให้การส่งออกและการลงทุนของไทยชะลอลงตาม 

ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยปีหน้าจะยังมีแรงส่งจากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวได้ดีจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เร่งขึ้น โดยประเมินว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะอยู่ที่ 28.3 ล้านคนในปี 2566 จากความต้องการท่องเที่ยวที่ยังอยู่ในระดับสูงและจีนมีแนวโน้มทยอยผ่อนคลายนโยบาย Zero-Covid อีกทั้ง การท่องเที่ยวในประเทศเติบโตดีกลับไปใกล้ระดับก่อน COVID-19 ส่งผลให้รายได้ภาคการท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการบริโภคขยายตัวดีต่อเนื่อง ทั้งนี้เศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวไม่ทั่วถึงในกลุ่มครัวเรือนและธุรกิจที่ยังเปราะบาง

สำหรับเงินเฟ้อทั่วไปของไทย คาดว่าจะทยอยลดลงได้ช้าและยังสูงกว่ากรอบเป้าหมายอยู่ที่ 6.1% และ 3.2% ในปี 2565 และ 2566 ตามลำดับ เนื่องจากราคาพลังงานและอาหารที่ยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูง และส่งผลต่อเนื่องไปเงินเฟ้อพื้นฐาน

ทั้งนี้ มองว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายค่อยเป็นค่อยไปสู่ระดับ 1.25% ณ สิ้นปีนี้ และปรับขึ้นต่อเนื่องอีก 3 ครั้งในช่วงครึ่งแรกของปีหน้าสู่ระดับ 2% เพื่อให้นโยบายการเงินค่อย ๆ กลับสู่ระดับที่เหมาะสมกับการเติบโตของเศรษฐกิจไทยระยะยาว 

สำหรับเงินบาทต่อดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่องไปถึงปีหน้า สาเหตุหลักจากเงินดอลลาร์ที่จะอ่อนค่าลงตามทิศทางดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐที่ช้าลง และความเชื่อมั่นของนักลงทุนโลกต่อการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงที่จะปรับดีขึ้น นอกจากนี้ เงินบาทจะยังได้ปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดปลายปีนี้ต่อเนื่องถึงปีหน้า เงินทุนเคลื่อนย้ายไหลกลับเข้ามาลงทุนในตลาดการเงินไทย รวมถึงเงินเฟ้อไทยที่จะลดลงเร็วกว่าของสหรัฐฯ ประเมินว่าเงินบาทต่อดอลลาร์มีแนวโน้มสิ้นปีนี้อยู่ในกรอบ 36-37 บาท และจะทยอยแข็งค่าต่อเนื่องอยู่ในกรอบ 34.5-35.5 บาท ณ สิ้นปี 2566
 
ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยจะยังเผชิญความเสี่ยงที่สำคัญในระยะต่อไป คือ เศรษฐกิจโลกชะลอตัวมากกดดันการส่งออกและลงทุน นโยบาย Zero-Covid ของจีนที่ยังไม่แน่นอนกระทบต่อนักท่องเที่ยวจีนและการส่งออก เงินเฟ้อสูง ดอกเบี้ยสูง หนี้สูง กดดันการฟื้นตัวไม่ทั่วถึงของครัวเรือนและธุรกิจบางกลุ่มที่เปราะบาง และความไม่แน่นอนทางการเมืองกระทบความเชื่อมั่นในการลงทุน